แบงก์เกาะติดช่วยลูกค้า ภาษีทรัมป์ 19% เพิ่มความเสี่ยงธุรกิจ
GH News August 14, 2025 09:42 AM

แม้จะมีข่าวดีที่ประเทศไทยไม่ถูกสหรัฐอเมริกาเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36% เหมือนที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือน เม.ย. 2568 ทว่า… อัตราภาษีที่ 19% ก็ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญแน่นอน เพราะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากเดิมค่อนข้างมาก ทำให้ทุกธุรกิจที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องปรับแผน ปรับโมเดลธุรกิจ… ปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ขณะที่ภาคธุรกิจธนาคารก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือลูกค้าในการปรับตัวกับ “พายุ” ครั้งใหม่

“กรุงศรีฯ” ชี้รายใหญ่เริ่มมีปัญหา

นายประกอบ เพียรเจริญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารได้ทำแบบประเมินผลกระทบ (Stress Test) จากนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐ (Reciprocal Tariffs) โดยผลกระทบโดยตรงอาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่จะต้องติดตามผลกระทบทางอ้อมจากการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะเดิมสหรัฐขาดดุลการค้าค่อนข้างมาก แต่ต่อไปจะขาดดุลลดลง หรือไม่ขาดดุลอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้ความสมดุลของการค้าถูกเขย่า ซึ่งจะกระทบประเทศไทยในที่สุด

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาธนาคารกรุงศรีฯ ได้มีการเข้าไปพูดคุยและติดตามลูกค้ารายใหญ่ใกล้ชิด ล่าสุดพบว่ามีลูกค้าบางรายเริ่มได้รับผลกระทบจากการค้าที่เปลี่ยนไป โดยลูกค้าบางส่วนมียอดคำสั่งซื้อ (Order) ลดลง หรือบางรายเปลี่ยนคำสั่งซื้อไปที่ประเทศอื่น ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณมีผลกระทบมากขึ้น

โดยลูกค้าเริ่มมีการบริหารจัดการคำสั่งซื้อ รวมถึงแบงก์มีการแนะนำตลาดและผลิตภัณฑ์ในประเทศ หรือตลาดอื่น ๆ เพื่อชดเชย หรือกรณีลูกค้าไปไม่ไหว แบงก์ก็ช่วยด้วยการการปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น

“จะเริ่มเห็นผลกระทบจริงเกิดขึ้น ซึ่งตอนนี้แต่ละประเทศต้องกลับไปดูตำแหน่งของตัวเอง เปรียบเหมือนเป็น Zero Sum Game และกระทบต่อไทยในที่สุด เราก็ติดตามดูแลลูกค้าใกล้ชิด เราก็เริ่มเห็นลูกค้าเริ่มมีผลกระทบ ซึ่งปีนี้ลูกค้ารายใหญ่อาจจะโตบ้าง แต่ไม่ได้มาจากการลงทุนใหม่ ส่วนผลกระทบกัมพูชาในแง่ Direct แต่จะเป็น Indirect ที่จะกระทบการท่องเที่ยว และมาจากผลภาษีกระทบส่งออก และสุดท้ายกระทบเศรษฐกิจและลูกค้าเรา” นายประกอบกล่าว

CIMBT มองความเสี่ยงไม่จบง่าย

นายวุธว์ ธนิตติราภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจรายใหญ่ปัจจุบันอาจจะยังไม่ได้มีปัญหาเรื่องผิดนัดชำระหนี้ แต่ยอมรับว่าแบงก์กังวลมากขึ้น จากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดเดาได้ (Unknow Risk) ว่าจะไปในทิศทางใด

ดังนั้น การตั้งรับหรือการบริหารจัดการจะต้องขึ้นอยู่กับเซ็กเมนต์ อุตสาหกรรม และความพร้อมของลูกค้า เพราะแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน โดยธนาคารจะติดตามใกล้ชิด มีการตั้งสมมุติฐาน (Run Scenario) รวมถึงการทำแบบประเมินผลกระทบ (Stress Test) ว่าธนาคารสามารถรองรับความเสี่ยงได้มากถึงขีดจำกัดในระดับใด เพื่อเตรียมแผนตั้งรับ ขณะเดียวกัน ธนาคารได้สำรวจพอร์ตลูกค้ารายใหญ่ต่อเนื่อง เพื่อดูผลกระทบและความต้องการของลูกค้า และเร่งวางแผนการช่วยเหลือร่วมกัน

ขณะที่ภาพการเติบโตของธุรกิจรายใหญ่ในปี 2568 ยอมรับว่าจากความเสี่ยงที่มีมากขึ้น และเป็นความเสี่ยงที่ยังไม่รู้ ดังนั้น การเติบโตจะเป็นไปในแบบระมัดระวังมากขึ้น โดยคุณภาพหนี้ยังสามารถบริหารจัดการได้ ไม่ได้มีประเด็นอะไร แต่ยังต้องติดตามใกล้ชิด

“ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเป็นความเสี่ยงที่ไม่เคยมีในโลกนี้ และยังไม่จบด้วย แล้วเราไม่รู้ด้วยว่าความเสี่ยงนี้จะมากขึ้นหรือน้อยลงยังไง และเจอกันทั้งโลก จึงเป็นความเสี่ยงที่เรากังวล คือ Unknow Risk เพราะอะไรที่เป็น Know Risk เราสามารถ Calculate มันได้ เราบริหารความเสี่ยงและตั้งรับได้ ซึ่งเราก็ตั้งสำรองเพิ่มไป เป็นสิ่งที่บริหารได้” นายวุธว์กล่าว

LHFG กระทบ 10% ของพอร์ต

นายวรวุฒน์ โตเจริญ President และหัวหน้ากลุ่มงานการเงินและบัญชี บมจ.แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้มีการทำ Stress Test ลูกค้ารายใหญ่ภายใต้ปัจจัยความเสี่ยง ทั้งภาวะเศรษฐกิจ และนโยบาย Reciprocal Tariffs รวมถึงความไม่สงบที่เกิดขึ้นของไทยและกัมพูชาและทั่วโลก เป็นต้น

โดยจากการประเมินพบว่ามีสัดส่วนลูกค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบาย Tariffs ประมาณ 10% ของพอร์ตสินเชื่อ แต่ในจำนวนดังกล่าวอาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากไม่ได้ส่งสินค้าไปสหรัฐโดยตรงมีอยู่ราว 20-24% ของพอร์ตที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เช่น กลุ่มรถยนต์ หรืออะไหล่ยานยนต์ เป็นต้น ขณะที่ผลกระทบต่อธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ (Trade Finance) ของธนาคารนั้น จะสอดคล้องและเป็นไปตามภาวะธุรกรรมของประเทศ ส่วนผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชายังไม่มากนัก

อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าจะเห็นมีลูกค้าบางรายที่มีสัญญาณอยู่ในสถานะที่มีปัญหา ซึ่งธนาคารได้มีการเข้าไปพูดคุยกับลูกค้า และบริหารจัดการความช่วยเหลือลูกค้าตามความเหมาะสมและตามประเภทธุรกิจของลูกค้าเป็นหลัก ขณะเดียวกัน ก็จะมีลูกค้าบางส่วนเข้ามาขอความช่วยเหลือธนาคารต่อเนื่อง โดยผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ไม่ได้มาจากปัจจัยเรื่องนโยบายภาษีสหรัฐทั้งหมด

“เราจะเห็นว่าเรามีความเสี่ยงใหม่ ๆ เข้ามาทุกไตรมาส เราก็มีการประเมินความเสี่ยงและแผนช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่อง การปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ลูกค้ารายใหญ่ที่เริ่มส่งสัญญาณมีปัญหาเราก็เร่งเข้าพูดคุยและให้การช่วยเหลือไป ในแง่แบงก์เองเราก็ต้องตั้งสำรองเพื่อให้มี Buffer รองรับเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและปัจจัยเสี่ยงที่มีมากขึ้น แต่การตั้งสำรองก็คงไม่ได้สูงมากเท่าที่ผ่านมา” นายวรวุฒน์กล่าว

“กรุงไทย” ดูแลพอร์ตลูกค้าใกล้ชิด

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ภาคสถาบันการเงินมีความท้าทายต่อเนื่อง จากปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่มีสัญญาณเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราการเติบโตของธุรกิจน้อยกว่าที่ประเมินไว้ เพราะต้องยอมรับว่าธุรกิจธนาคารเป็นธุรกิจที่ผูกพันกับสภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างมาก

สำหรับธนาคารกรุงไทยอยู่ระหว่างพิจารณาแผนการเติบโตอย่างใกล้ชิด และทบทวนแผนถี่ขึ้น โดยตัวเลขการเติบโตสินเชื่อปีนี้ ต้องรอดูผลของนโยบายภาษีสหรัฐ เช่นเดียวกับภาพรวมเอ็นพีแอล แม้ว่าหนี้เสียของกรุงไทยจะปรับลดลงในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่ตัวเลขเหล่านี้อาจไม่ได้สะท้อนถึงสถานการณ์ปัจจุบันหรืออนาคตที่มีความผันผวนสูง จึงต้องดูแลต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพโดยรวมสินเชื่อชะลอตัว แต่ในมุมของการหารายได้ ธนาคารยังมองว่าหลายภาคส่วนยังเติบโตได้ ทั้งการพึ่งพารายได้จากการลงทุนในตลาด และการควบคุมต้นทุนอย่างเคร่งครัด

“ธนาคารต้องมีการทบทวนและดูแลพอร์ตและคุณภาพหนี้อย่างใกล้ชิด ภายใต้สินเชื่อที่มีความท้าทายมากขึ้น วันนี้สิ่งที่แบงก์ทำได้คือการประคับประคองลูกหนี้ การช่วยเหลือลูกหนี้มากขึ้น ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 แล้ว ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ยังมีความท้าทายอยู่ อย่ามองระยะสั้น เพราะการปรับตัวทางเศรษฐกิจมากกว่า 1 ปี ซึ่งในส่วนของการตั้งสำรองหนี้ฯ ก็ต้องอยู่บนความระมัดระวัง” นายผยงกล่าว

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.