การขนส่งพัสดุกลายเป็นหนึ่งในฟั่นเฟืองของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะระหว่างไทยและจีน ซึ่งมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นทั้งในด้านการค้า การลงทุน และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่าปริมาณการขนส่งพัสดุจากไทยไปจีนในช่วงปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นกว่า 3% จึงเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งของบริการขนส่งพัสดุสำหรับทั้งลูกค้ากลุ่ม B2B และ B2C
ทั้งนี้ในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ไปรษณีย์ไทยยังร่วมกับสมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ เตรียมจัดงานแสดงตราไปรษณียากรภาคพื้นเอเชีย 2568 “จดหมายแห่งมิตรภาพ – From Bangkok to Beijing” ระหว่างวันที่ 8–12 สิงหาคมนี้ ณ ไปรษณีย์กลาง บางรัก ถ่ายทอดมิตรภาพผ่านแสตมป์ จดหมาย และกิจกรรมวัฒนธรรมร่วมสมัยจากทั่วเอเชีย
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ความร่วมมือด้านการติดต่อสื่อสารและการเชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างไทย–จีน ผ่านเส้นทางไปรษณีย์ ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม ประชาชน ภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการ โดยในปีที่ผ่านมา ปริมาณการขนส่งพัสดุจากไทยไปจีนเติบโตเฉลี่ยกว่า 3% สะท้อนบทบาทของไปรษณีย์ไทยในฐานะโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจไร้พรมแดนได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ บริการที่ได้รับความนิยมสูง ได้แก่ ไปรษณียภัณฑ์ บริการส่งด่วนระหว่างประเทศ (EMS World) และบริการพัสดุ
“เส้นทางขนส่งหลักระหว่างไทยและจีน ได้แก่ ทางอากาศ ทางเรือ และทางภาคพื้น ไปยังเมืองหลักๆ เพื่อกระจายสินค้า อาทิ กว่างโจว เซี่ยงไห้ และปักกิ่ง ซึ่งล้วนมีศักยภาพในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดจีนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสิ่งของที่นิยมส่งจากไทยไปจีน ได้แก่ เอกสาร ของเล่น เสื้อผ้าคอตตอน อาหารเสริม และเครื่องรางของขลัง ทั้งนี้จากข้อมูลล่าสุด ไปรษณีย์ไทยมีการขนส่งพัสดุจากไทยไปจีนมากกว่า 60,000 ชิ้น ขณะที่พัสดุจากจีนมายังไทยอยู่ที่กว่า 70,000 ชิ้น โดยมูลค่าค่าบริการขนส่งจากไทยไปจีนอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้จากการให้บริการต่างประเทศของไปรษณีย์ไทยโดยรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 15% โดยประเทศหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และนิวซีแลนด์” ดร.ดนันท์ กล่าว
ดร.ดนันท์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามในธุรกิจการขนส่งไปรษณีย์ไทยในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจ จะไม่มีการแข่งขันกับภาคเอกชน เพราะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนสังคมและร่วมขับเคลื่อนประเทศให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ ไปได้ รวมถึงการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เป็นภาระของภาครัฐ หมายความว่า ต้องสามารถบริหารจัดการตนเองให้มีความมั่นคง ยั่งยืน
ส่วนแนวทางการพัฒนาเส้นทางขนส่ง ดร.ดนันท์ กล่าวว่า เพื่อตอบสนองต่อโอกาสที่เติบโตขึ้น ไปรษณีย์ไทยจึงมีแผนพัฒนาระบบขนส่งทางบกจากต้นทางในจีน เพื่อรองรับลูกค้าทั้งกลุ่ม B2B และ B2C โดยใช้ช่องทางการขนส่งเชิงพาณิชย์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งและรองรับปริมาณสินค้าที่มากกว่าการขนส่งทางอากาศ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าด้วยบริการดำเนินพิธีการศุลกากรทั้งต้นทางและปลายทาง และอยู่ระหว่างการศึกษาการใช้ระบบขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) ทั้งทางถนนและทางราง เพื่อเชื่อมต่อไปยังปลายทางในจีน และพัฒนาตัวเองเป็นศูนย์กระจายสินค้าเข้าสู่ประเทศไทย ก่อนส่งต่อไปยัจีน
งปลายทางทั่วโลก ผ่านเครือข่ายภายในประเทศทั้งทางอากาศและภาคพื้นอย่างมีประสิทธิภาพ
“สำหรับการจัดงาน จดหมายแห่งมิตรภาพ From Bangkok to Beijing ที่นำเสนอแสตมป์ จดหมาย และระบบสื่อสารของไปรษณีย์ในฐานะเครื่องมือทางการทูตเชิงวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศภายในงานจะจัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมร่วมสมัยที่สะท้อนคุณค่าทางศิลปะ หัตถกรรม งานเขียน และวัฒนธรรมไทย–จีนในหลากหลายมิติ เพื่อเปิดมุมมองใหม่ให้เห็นบทบาทของไปรษณีย์ไทยในฐานะจุดเชื่อมสำคัญของภูมิภาค และเป็นพลังเชิงวัฒนธรรม (Soft Power) ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุคไร้พรมแดน” ดร.ดนันท์ กล่าว
ด้านชาญชัย กรรณสูต นายกสมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ กล่าว่า ในวาระครบรอบ 50 ปีของสมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทยฯ ได้ร่วมกับไปรษณีย์ไทยจัดงานแสดงตราไปรษณียากรภาคพื้นเอเชีย พ.ศ. 2568 (THAILAND 2025 Asian International Stamp Exhibition) ถือเป็นจุดหมายสำคัญของประเทศไทย ในฐานะเจ้าภาพเวทีการประกวดและแสดงแสตมป์ระดับนานาชาติครั้งยิ่งใหญ่ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 27 ประเทศ จัดแสดงแสตมป์หายากและมีผลงานเข้าร่วมกว่า 1,200 เฟรม โดยเป็นการยืนยันถึงศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ไปรษณีย์ในภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
ชาญชัย กล่าวต่อว่า ภายในงานจะมีนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติด้วยพระเมตตาแห่งองค์อุปถัมภ์ นำเสนอภาพตราไปรษณียากรฝีพระหัตถ์ พระราชกรณียกิจด้านการสะสม รวมถึงภาพถ่ายและวิดีทัศน์พระราชดำรัสที่เกี่ยวข้องกับตราไปรษณียากรในอดีต และยังมีนิทรรศการ 50 ปี สมาคมนักสะสมตราไปรษณียากรแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ ที่รวบรวมพัฒนาการของสมาคมตั้งแต่ยุคก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน พร้อมด้วยการจัดแสดงสิ่งสะสมเกียรติยศจากสมาชิก FIAP (Grand Prix Club) และคอลเลกชันแสตมป์ทรงคุณค่าจากประเทศจีน หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงาน คือ การจัดแสดงคอลเลกชันประวัติศาสตร์ของที่ทำการไปรษณีย์มองโกเลียในช่วง ค.ศ. 1854–1921 ซึ่งส่งตรงจากประเทศจีน และเคยได้รับรางวัลระดับนานาชาติมาแล้วหลายครั้ง มีการออกร้านจำหน่ายตราไปรษณียากรจากภาคเอกชน และร้านตัวแทนจากไปรษณีย์ต่างประเทศอีกด้วย
สำหรับไฮไลต์ที่สำคัญภายในงาน จดหมายแห่งมิตรภาพ From Bangkok to Beijing ประกอบด้วย นิทรรศการพรรณไม้พระนาม “คำหยาดศรีสิรินธร”, นิทรรศการภาพตราไปรษณียากรภาพฝีพระหัตถ์, นิทรรศการ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย – จีน การเดินทางของโพยก๊วน, คอลเลคชันแสตมป์จากประเทศจีน ที่ทำการไปรษณีย์สยามนอกเขตประเทศไทย และการแสดงจากศิลปิน Meet&Greet และมินิคอนเสิร์ตศิลปินชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น โอ๊ต ภาสกร เก่ง-น้ำปิง และนุนิว พร้อมมินิคอนเสิร์ตจาก SERIOUS BACON การแสดงบนเวทีเชิงวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็น งิ้วเปลี่ยนหน้ากาก ลำตัดแม่ศรีนวล กิจกรรม Workshop ตลาดแห่งมิตรภาพที่รวมร้านเด็ด ของอร่อยจาก 2 วัฒนธรรม โดยง่นจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 12 สิงหาคม 2568 ณ ไปรษณีย์กลาง บางรัก