วันที่ 1 ก.ย. 2568 ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่การประชุมฯเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้าน ต่อมานายชิบ จิตนิยม สมาชิกวุฒิสภา ได้ลุกขึ้นอภิปรายโดยชี้ให้เห็นว่า งบประมาณปี 2569 นี้เป็นมากกว่าแค่ตัวเลขรายจ่าย แต่เป็นแผนการลงทุนเพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย โดยมี 3 แกนหลักที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ คือ ซอฟต์พาวเวอร์, เศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนาคน, และการทูตเศรษฐกิจ
นายชิบกล่าวว่า งบประมาณสำหรับซอฟต์พาวเวอร์ที่ถูกบรรจุในแผนงานยุทธศาสตร์เป็นครั้งแรกในปีนี้ มีวงเงินรวมประมาณ 4,000 ล้านบาท ผ่าน 29 หน่วยงาน ซึ่งมากกว่าปีก่อนเกือบเท่าตัว แม้จะเป็นสัญญาณที่ดีว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับซอฟต์พาวเวอร์ในฐานะเศรษฐกิจจริงจัง แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่า งบประมาณกว่า 40% เป็นงบสำหรับ "กิจกรรมหรืออีเวนต์" ในขณะที่งบสำหรับ "พัฒนาคนและทักษะ" อยู่ที่เพียง 19% ซึ่งน้อยกว่าเกือบเท่าตัว ยกตัวอย่างโครงการใหญ่ในหมวดอีเวนต์ เช่น เทศกาลประเพณีไทย ที่กินสัดส่วนงบประมาณสูง แต่กลับขาดตัวชี้วัดเศรษฐกิจปลายน้ำที่ชัดเจน อาทิ รายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น มูลค่าการส่งออกสินค้าวัฒนธรรม หรือการจ้างงานใหม่ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังไม่มีการผูกผลลัพธ์เข้ากับแพลตฟอร์มข้อมูลกลาง ทำให้การบูรณาการและการติดตามผลไม่มีประสิทธิภาพ
"รัฐบาลพร้อมหรือไม่ที่จะโยกงบอย่างน้อย 20-30% ของงบกิจกรรมไปสู่ทุนพัฒนาทักษะและทุนร่วมลงทุนคอนเทนต์ที่มีผลคูณทางเศรษฐกิจสูงกว่า จึงอยากเสนอให้รัฐบาลจัดทำรายงานผลทุกไตรมาส โดยใช้ตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม เช่น รายได้ การส่งออก และการจ้างงาน แทนการนับเพียงแค่จำนวนผู้เข้าร่วมงาน เพราะหัวใจสำคัญของซอฟต์พาวเวอร์และผลิตภาพใหม่คือ "คนดิจิทัล" ทว่างบประมาณสำหรับหน่วยงานสำคัญอย่างสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กลับมีวงเงินเพียงประมาณ 1,300 ล้านบาท ซึ่งอยู่ล่างสุดของกองทุนและองค์การมหาชน ทั้งที่ depa เป็นหน่วยงานหลักในการสร้างทักษะและอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศ”นายชิบ กล่าว
นายชิบ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ งบพัฒนาคนและทักษะดิจิทัลยังไม่ถูกผูกเป้าหมายเชิงปริมาณรายปี เช่น จำนวนผู้สำเร็จทักษะ AI, Data, Interactive Content หรือ Game ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานจริง และยังไม่มีฐานข้อมูล Digital Skill Passport ระดับชาติที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานเชิงนโยบาย จึงเสนอให้มีการกันงบประมาณ 500-800 ล้านบาท เพื่อตั้ง "กองทุน Digital Talent Co-Pay" ที่จะทำงานร่วมกับภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และสตูดิโอต่าง ๆ เพื่อฝึกงานและสร้างทักษะให้บุคลากรดิจิทัล 20,000 คนต่อปี โดยมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน พร้อมเปิด "แดชบอร์ดสาธารณะ" เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้
นายชิบ กล่าวว่า สำหรับเรื่องการทูตเศรษฐกิจ คิดว่าเป็นงบประมาณที่คุ้มค่าที่สุดต่อภาษีประชาชน เพราะทุกดีลการค้าและการลงทุนล้วนเริ่มต้นจากงานการทูต โดยงบการทูตเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ 848.7 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงรายการสำคัญอย่างค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทูตเศรษฐกิจ 200 ล้านบาท และการเตรียมพร้อมเข้าร่วมอนุสัญญา Apostille 20 ล้านบาท จึงเสนอให้กันงบการทูตเป็นงบกันชน และเพิ่มอีก 200-300 ล้านบาท สำหรับรายการที่ผูก KPI กับมูลค่า FDI, การค้า และนักท่องเที่ยวคุณภาพ พร้อมกำหนด Service Level ที่ชัดเจน เช่น ลดระยะเวลารับรองเอกสาร Apostille ให้เหลือไม่เกิน 48 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังเสนอให้งบกลางวงเงิน 632,968 ล้านบาท ซึ่งเป็นก้อนใหญ่ที่สุดในปีนี้ ควรเปลี่ยนจาก "ก้อนทึบ" เป็น "แดชบอร์ดสาธารณะ" ที่รายงานการใช้และผลสัมฤทธิ์รายไตรมาสแบบแยกหมวดและโครงการ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและ accountability
นายชิบ ได้ยกตัวอย่างความสำเร็จของหลายประเทศที่ลงทุนในทุนทักษะดิจิทัล ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงมาก เช่น เกาหลีใต้ที่ลงทุนกว่า 1.5 แสนล้านบาทต่อปีในการปั้นบุคลากรดิจิทัล 2 แสนคน ส่งผลให้อุตสาหกรรมเกมและคอนเทนต์สร้างรายได้ส่งออกกว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี หรือสิงคโปร์ที่ลงทุนในโมเดล SkillsFuture กว่า 4 หมื่นล้านบาทต่อปี ทำให้ติดอันดับ Top 10 ด้านความพร้อมดิจิทัล และดึงดูด FDI เทคโนโลยีได้เกิน 2 ล้านล้านบาทต่อปี
"งบประมาณคือ 'นโยบายจริง' ของรัฐบาล ถ้าเราใช้เงินส่วนใหญ่กับกิจกรรมที่จบหน้างานมากกว่าทุนมนุษย์ ประเทศเราจะเหนื่อยทุกปี...ผมเชื่อว่าถ้าเราขยับสามจุดนี้ ผลคูณจะเริ่มเห็นตั้งแต่ปีหน้า และประเทศไทยจะไม่ใช่แค่ผู้ตามงานอีเวนต์ แต่จะเป็นผู้ผลิตมูลค่าใหม่บนเวทีโลก" สว.ชิบ จิตนิยม กล่าว