เอกชน ติดตามสถานการณ์การเมืองใกล้ชิด ลั่นไม่ยึดติดการรวมเสียงจากขั้วไหน แต่ขอความชัดเจน มีผู้นำและ ครม. ที่มีศักยภาพ ด้าน ส.อ.ท. ห่วงเบิกจ่ายภาครัฐต่ำเป้า ฉุดศก. ชี้ความไม่แน่นอนการเมืองยิ่งยาวยิ่งไม่ดี
3 ก.ย. 2568 – นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ติดตามความเคลื่อนไหวและประเมินสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังฝุ่นตลบอย่างใกล้ชิด เพราะทำให้บรรยากาศการเมืองฝุ่นตลบ เพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองกำลังซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย ที่เผชิญแรงกดดันทั้งกำลังซื้อภายในที่หดตัว หนี้ครัวเรือนสูง ภาษีการค้าจากสหรัฐ ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนปัญหาชายแดนและการปิดด่านกับประเทศเพื่อนบ้าน
“เอกชนไม่ได้ยึดติดว่าขั้วใดจะรวมเสียงได้ หรือหากต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ก็ขอให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญโดยเร็ว และหากประเทศมีผู้นำและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีศักยภาพ สามารถประสานงานกับทุกฝ่ายได้ ก็จะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ต้องยอมรับว่าสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันสร้างความชะงักงันในการเดินหน้าต่อ เพราะไม่รู้ว่าควรจะไปซ้ายหรือขวา ในแง่เอกชนพูดตลอดเวลาอยู่แล้วว่า ต้องการความชัดเจน มีรัฐบาลที่ดี ชอบธรรมด้วยกฎหมาย เป็นที่ยอมรับต่อนานาชาติและประชาชน มีความสามารในการบริหาร เพราะตอนนี้เรายืนอยู่ในภาวะที่เจออุปสรรคเต็มไปหมด”นายพจน์ กล่าว
ทั้งนี้ ไม่ใช่เพียงเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่มีปัจจัยลบทั้งภายนอกและภายใน เช่น ภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาการปะทะระหว่างชายแดน ทำให้หากรัฐบาลไม่เข้มแข็ง เอกชนก็เดินหน้าต่อลำบาก แม้ กกร. จะพยายามเดิมด้วยตัวเองอยู่ ผ่านการออกแพลตฟอร์มหลังจากหารือร่วมกับหน่วยงานรัฐบาล อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อสร้างเครือข่ายและขับเคลื่อนให้ไปต่อ เพราะสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนและการเบิกจ่ายของรัฐบาล
อย่างไรก็ดี การเป็นรัฐบาลระยะเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภาหรือยุบสภาทันทีตอนนี้นั้น ต้องบอกว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมีผลกระทบอยู่แล้ว แต่การเป็นรัฐบาล 4 เดือนก่อนถือเป็นคำตอบทางการเมือง และเชื่อว่าเป็นคำคอบของเศรษฐกิจด้วย เพราะนโยบายระยะยาวยังต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อนมากกว่านี้ ส่วนสาเหตุที่ยังคงคาดการณ์จีดีพีไว้เท่าเดิม เพราะมองว่าการส่งออกยังสามารถบวกได้ มีคำสั่งซื้อเข้ามาค่อนข้างดี แม้มีอาการช็อกเกิดขึ้นบ้าง
รวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้การค้าขายแข่งกับต่างประเทศลำบาก แต่มองว่าส่งออกมีทิศทางบวกได้อยู่ และการท่องเที่ยวที่ยังพอไปได้ แม้มีนักท่องเที่ยวชะลอตัวลงบ้าง แต่คาดว่ายังใกล้เคียงกับปี 2567 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 35-36 ล้านคน ซึ่งหากมีการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจีนเข้ามามากขึ้นจะดีมากขึ้น แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ทำมากเท่าที่ควร
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาวะการเมืองที่ยังไม่ลงตัวในตอนนี้ เปรียบเทียบระหว่างการยุบสภาทันทีในตอนนี้ หรือจัดตั้งรัฐบาลเข้ามาทำงานในกรอบเวลา 4 เดือนจากนั้นจึงทำการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ตามที่พรรคประชาชนตั้งเงื่อนไขไว้นั้น ประเมินว่าการทอดเวลานานมากขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยาวเกินไป ถือว่าไม่เป็นผลดีอยู่แล้ว ภาคเอกชนส่วนต้องการความรวดเร็วและความชัดเจนมากที่สุด
นอกจากนี้งบประมาณปี 2568 ภาครัฐยังเบิกได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมระยะเวลา 11 เดือนใกล้ครบ 1 ปีแล้ว แต่สามารถเบิกไปได้เพียง 50% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายมาก เทียบกับตัวเลขเฉลี่ยในอดีตที่อยู่ประมาณ 60% ถือเป็นความกังวลว่าการเบิกจ่ายของรัฐบาลจะมีการชะงักงัน ไม่เต็มที่เท่าที่ควร
“ความสำคัญในตอนนี้คือ ภาคการค้าระหว่างชายแดน โดยเฉพาะไทยและกัมพูชา ที่ยอดการค้าสะสมติดลบ 10% และหากประเมินตัวเลขเฉพาะเดือนก.ค. ที่ผ่านมา การส่งออกเหลือเพียง 370 ล้านบาท ติดลบกว่า 97% ทำให้ต้องรีบเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งทางตรง และผู้ผลิตสินค้าโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเป็นที่มาของความต้องการรัฐบาลเร็วที่สุด เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่รออยู่” นายเกรียงไกร กล่าว
อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ต้องการคือ เป็นคนมีความรู้ คนเก่ง และคนดี กล้าตัดสินใจในประเด็นต่างๆ เพราะมีความสำคัญในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวนสูงแบบนี้ โดยไม่ว่าจะใช้เวลาก่อนเลือกตั้งใหม่ 5-6 เดือน หรือลากยาวไปเป็นปี ในช่วงระหว่างนั้น ภาคการลงทุนก็จะชะลอตัวรอดูความชัดเจนก่อน กระบวนการขับเคลื่อนแผนงานของราชการก็จะทำไปแบบชะลอลงเช่นกัน ดูทิศทางข้างหน้า ไม่ได้ทำงานในอัตราเร่งอย่างที่ควร แต่ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันต้องการการแก้ไข้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ซึ่งการทำงานตอบสนองอาจช้าเกินไป