‘พิชัย’ ลุ้นดันเศรษฐกิจไทยปี 2568 โตแตะ 2.5% ยันยังปฏิบัติหน้าที่ปกติ ลุยเคลียร์ภาษีสหรัฐฯ ให้จบ การันตีการเมืองไม่กระทบเชื่อมั่นนักลงทุน-เครดิตประเทศ
3 ก.ย. 2568 – นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวถึงกรณีที่ กกร. มีการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะขยายตัวเพียง 1% ว่า น่าจะเป็นการประเมินโดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ก่อนมีข้อสรุปเรื่องภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จึงอาจเป็นการประเมินที่ยังไม่เห็นภาพต่าง ๆ ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินการที่รัฐบาลทำอยู่ แต่หลังจากสถานการณ์ดังกล่าวมีความชัดเจนขึ้น หลายสำนักก็มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2% กว่าเกือบทั้งหมด แม้ว่าไทยจะได้ข้อสรุปภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่อัตรา 19% ขณะที่ในภาคปฏิบัติยังมองไม่ชัดว่าจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม ดังนั้น เชื่อว่าหากไทยสามารถทำตรงนี้ออกมาได้ดี ไม่มีอะไรสะดุด ก็ยังเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะสามารถผลักดันให้จีดีพีปี 2568 ขยายตัวได้ถึง 2.5%
ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้นั้น อยากให้มองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดได้กับทุกประเทศ จะมากหรือน้อยเท่านั้น บางคนอาจจะเรียกสถานการณ์ตอนนี้ว่าเป็นสุญญากาศทางการเมือง แต่ในกรณีของไทยสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่านาน ๆ จะเกิดขึ้น แต่เกิดมาจนกระทั่งคนทั่วไปรับรู้แล้วว่าเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ และในที่สุดสถานการณ์ก็จะสามารถคลี่คลายและลงตัวได้ ดังนั้นจึงมองว่าเรื่องนี้จะไมม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นแต่อย่างใด แม้จะต้องยอมรับว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจจะมีการชะลอตัวลงบ้าง เพราะบางเรื่องอาจจะยังรอดูผลความชัดเจนของสถานการณ์ ถือว่าตรงนี้เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้กับทุกประเทศ
สำหรับผลกระทบต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศนั้น ยืนยันว่าข้อมูลตอนนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม ขณะนี้เชื่อว่าทุกส่วนของรอดูว่าสถานการณ์ตอนนี้จะจบอย่างไร และที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็จะเดาได้ว่าจะจบแบบไหน ดังนั้นเรื่องเสถียรภาพของไทยจึงมีลักษณะที่ไม่เหมือนประเทศอื่นอยู่บ้าง
“ผมยังไม่ทราบว่าสถานการณ์ต่อจากวันนี้จะเป็นอย่างไร แต่ ณ วันนี้ผมยังยืนยันว่ายังปฏิบัติหน้าที่อยู่ แต่สมมุติว่าท้ายที่สุดมีการยุบสภา รัฐบาลก็ยังจะเป็นรัฐบาลรักษาการอยู่จนกว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่จะแล้วเสร็จ ดังนั้นเรื่องอะไร หรือนโยบายอะไรก็ตามที่ทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อประเทศ สามารถลดความเสียเปรียบของประเทศไทยก็ควรจะต้องดำเนินต่อไป โดยหลักการ คือ อะไรที่เป็นประโยชน์ก็ทำ อะไรไม่เร่งด่วนหรือเป็นเรื่องระดับนโยบายที่ต้องรอ ถ้ารอได้ก็ต้องรอไปก่อน” นายพิชัย กล่าว
อย่างไรก็ดี ในส่วนของความเชื่อมั่นของนักลงทุนนั้น ยังยืนยันว่าขณะนี้ไม่มีปัญหา เพราะเวลาคนจะตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยไม่ได้ใช้เวลาพิจารณาแค่เดือนเดียว แต่ใช้เวลาตัดสินใจเป็นปีกว่าจะสรุปว่าเมืองไทยเหมาะสม และสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ก็ไม่ได้เกิดแค่กับไทย แต่ทุกประเทศก็มีปัญหาเหมือนกันทั้งหมด ดังนั้นขณะนี้นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่เลือกแล้วที่จะลงทุนในไทย แม้ท้ายที่สุดจะมีการเปลี่ยนแปลงในประเทศเกิดขึ้น ส่วนตัวก็ยังเชื่อว่านักลงทุนจะยังไม่เปลี่ยนใจ
“ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาการชะลอการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ ที่ผ่านมาทุกคนยังเงียบอยู่ ยังไม่มีใครบ่นหรือถามอะไร ก็แปลว่าน่าจะยังพอใจอยู่ ส่วนกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์นั้น มองว่า ในระยะต่อไปหากยังเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็เชื่อว่าจะมีการสานต่อแน่นอน
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวว่า โครงการหวยเกษียณ และโครงการสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) นั้น หลังจากนี้คงต้องรอดูความชัดเจนของสถานการณ์ต่าง ๆ ภายในประเทศก่อน โดยเชื่อว่าหากทุอย่างชัดเจนขึ้น ก็จะมีทางของมันว่าควรจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร แต่ตอนนี้อยากให้รอความชัดเจนทั้งหมดก่อน