จากสถานการณ์การเมืองที่ไม่ชัดเจนว่าจะลงเอยในรูปแบบใด สามารถออกได้หลายรูปแบบ ทั้งการมีรัฐบาลใหม่ รัฐบาลเก่า เลือกตั้งใหม่ หรือมีรัฐบาลเฉพาะการ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น!!
ซึ่ง ณ เวลานี้ หลายฝ่ายเกิดความกังวนว่าหากไม่มีความชัดเจนในเรื่องของรัฐบาลใหม่ หรือ สูญญากาศทางการเมือง อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ที่อาจจะย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ส่งผลเสียได้ในอนาคต
และจากการประชุมคณะกรรมการร่วมสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (กกร.) นำโดย นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย, นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุ ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ประจำเดือนกันยายน 2568 ว่า เศรษฐกิจโลกยังคงปั่นป่วนจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการรอผลตัดสินจากศาลสูงสุด ภายหลังศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ตัดสินว่าการขึ้นอัตราภาษีนำเข้ากับประเทศต่างๆ ขัดต่อกฎหมาย นอกจากนี้ การที่สหรัฐฯยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้การประมาณการเศรษฐกิจโลกสำหรับปีนี้ ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับภาวะ เศรษฐกิจไทย กกร.มองว่า เริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยเศรษฐกิจไตรมาสที่สองขยายตัว 2.8% ลดลงจาก 3.2% ในไตรมาสที่หนึ่ง ส่วนอัตราการว่างงานในระบบในไตรมาสที่สองเพิ่มขึ้นเป็น 2.07% จาก 1.88% ในไตรมาสที่หนึ่ง และมีจำนวนผู้เสมือนว่างงานอยูที่ 2.1 ล้านคน สูงขึ้นราว 5% จากปีก่อน และภาคการท่องเที่ยว ภาคก่อสร้างและอสังหาฯ และภาคเกษตรชะลอตัว ความเปราะบางของ SMEs เห็นได้ชัดจากยอดค้างชำระหนี้เกิน 90 วันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ขนาดเล็กที่ยอดคงค้างสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่า ปี 2568 GDP ไทยจะขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2% โดยครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพียงประมาณ 1% ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า และมีความเสี่ยงที่ประเทศจะโดนลงอันดับความน่าเชื่อถือสูงขึ้น
ขณะที่ด้านมุมมองนักวิชาการ ผศ.ดร. สิงห์ สิงคจร คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏ บ้านสมเด็จเจ้าพระยา กล่าวว่า สภาวะเศรษฐกิจในห้วง เวลาที่ถือว่าเป็นสุญญากาศของการเมืองไทย ซึ่งปัจจุบัน ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีรักษาการ ส่วนนี้จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง มุมมองแรก ช่วง เดือนกันยายน ถือเป็นช่วงเวลาที่อาจจะไม่มีผลกระทบต่อด้านเศรษฐกิจในส่วนของงบประมาณทางราชการ เพราะว่างบประมาณของทางราชการนั้นจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน โดยช่วงเวลาเดือนกันยายน ตามปกติทุก หน่วยงานราชการจะเป็นช่วงที่จะเคลียร์ในส่วนของโครงการต่างๆ ทั้งเก็บงาน และเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งคาด ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมาย
แต่ส่วนของความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างประเทศ ในระยะยาว เมื่อประเทศไทยการเมืองไม่นิ่งก็จะทำให้การลงทุนนั้นเกิดการชะลอตัว ซึ่งนักลงทุนต่างชาติมองเรื่องของเสถียรภาพทางการเมืองเป็นเรื่องใหญ่ เพราะ เสถียรภาพทางการเมืองดี รัฐบาลแข็งแรง นักลงทุนต่างชาติ จะมีความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นการเริ่มปีงบประมาณใหม่ ถ้าหากยังไม่ได้ รัฐบาลตัวจริง ยังเป็นรัฐบาลสุญญากาศ ก็จะส่งผลกระทบต่อโครงการต่างๆ ที่จะมีการดำเนินการในนามของรัฐบาลเอง โดยเฉพาะโครงการที่เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ไม่ใช่โครงการที่มีงบประมาณผูกพัน ประจำ อาจจะไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ ซึ่งในส่วนนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง
“หากรัฐบาลยังเป็นรัฐบาลสูญญากาศ โครงการต่าง ๆ อาจจะถูกชะลอลง เพราะเนื่องจากต้องดูว่าความ ชัดเจนของผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีนั้น เป็นผู้ใด และจะมีแนวทางในการดำเนินนโยบายเป็น อย่างไร อีกทั้งในช่วงเดือนตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม เป็นไตรมาส 4 ของ ปี 2568 ซึ่งจะมีเม็ดเงินหมุนเวียน สะพัด และยังเป็นช่วงเวลาที่มีกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงการท่องเที่ยวต่างๆที่จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ ดังนั้นหากยังไม่มีมาตรการใด ๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงความ ผันผวนทางการเมือง ทำให้ประชาชนไม่กล้า จับ จ่าย ซื้อ สินค้า หรือ ออกไปท่อง เที่ยว ก็จะส่งผลกระทบต่อการหมุนเวียนของเงินในประเทศ”
สุดท้ายควรต้องรีบดำเนินการในจัดตั้งรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรีตัวจริง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เชื่อว่าจะ สามารถทำให้ความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติ รวมถึงความเชื่อมั่นของคนไทย ในการที่จะจับ จ่าย ซื้อ สินค้า ใน ช่วง ของ 3 เดือน สุด ท้าย ของ ปี 2556 รวมไปถึงท่อง เที่ยวในช่วงหน้าหนาว
คงต้องรอลุ้นว่า รูป ร่าง หน้า ตา ของ นายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเป็นอย่างไร!?!