คนกลืนฝน ในเอ่อล้นพ้นดวงตา “..ตราบชีวิตอ่อนไหวใต้ฟ้าบน...ย่อมมีคนหล่นร่วงห้วงน้ำตา..”
GH News September 06, 2025 08:11 AM

ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“...เราต่างมีจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวด..ในห้วงเวลาของชีวิตที่ล้วนแตกต่างกัน..มัน คือ “ลมพัดกระพือทางอารมณ์ความรู้สึกที่ทั้งเร้นลึกและมีความหมาย..เป็นประกายทางจิตวิญญาณที่แฝงฝังอยู่กับสัญชาตญาณอันไม่รู้..มีอยู่บ่อยครั้ง..ที่ชีวิต..จำใจต้องรับรู้โครงสร้างเเห่งลมหายใจที่ตีบตันและมืดมนนี้..ตราบจนกระทั่ง..ความรู้สึกแห่งใจได้ปรากฏคมอาวุธออกมาเพื่อปกป้องและเยียวยาตัวตน..ที่สูญสิ้นพลังลง..!

ณ วิถีอันปริร้าวข้างต้น..จิตใจของมนุษย์จึ่งจำต้องกลายกลืน..อุบัติการณ์แห่งชะตากรรมนี้เอาไว้กับกายร่างให้..กลบฝังอย่างถึงที่สุด..แม้มันจะอัดอั้นล้นทะลักจนกลับกลายเป็นกระแสแห่ง “น้ำคำของดวงตา” เหนือบริบทแห่งความทุกข์เศร้า..แห่งความเป็นไปใดๆก็ตาม..!

“..หมู่เมฆม้วนมวลมั่นกลั่นฟ้าหม่น/คนกลืนฝนจนสะอื้นขื่นขมกว่า/ทุกข์คือโลกโศกทรวงดวงชีวา/ต่ำใต้หล้าท้าเผชิญเกินจำนรรจ์” บทเริ่มต้นแห่งสาระของรวมบทกวี..ที่เปรียบดั่งแสงส่องใจอันกระทบใจของ “กวีหนุ่ม”..ที่สะพรั่งบานดอกไม้แห่งอารมณ์ออกมา..อย่างเปิดเปลือย..เยียบเย็น..และ จริงใจต่อเงื่อนไขอันสั่นไหวของการรับรู้และตื่นตระหนัก..!

“ชาย แสงอากาศ” สรรค์สร้างบทกวีโดยรวมของเขา ด้วยอารมณ์อันรีดเค้นของการกล้าเผชิญหน้า..กับรอยแผลเป็นอันบาดลึก..และ..สถานการณ์ที่คอยโบยตี..โลกแห่งศาติสุข..จนไม่เหลือค่า..ไว้ให้ชื่นชมใดๆ..

“..โลกการุณอุ่นอ้อมจนหอมหวน/ดอกไม้สวนล้วนสงบอบร่ำกลิ่น/เหม็นสาบคลุ้งคาวร่างร้างชีวิน/เพลิงประหารผลาญสิ้นถิ่นสองคราม/ เหลือหนังสือนิทานเป็นซากศพ/ร่างเล็กเล็กนอนทบกลบสนาม/เริ่มวัยเยาว์แรกแย้มกี่รุ่งยาม/ให้อกร่ำคำถามต่อความตาย/ อีกาโหย ลมหวน ครวญเพลงเศร้า/รอยรูปเงาร่างคนบนซากสลาย/เด็กดมควันดินปืนยืนเปล่าดาย/สิ้นความหมายเจตจำนงจงลืมเลือน”/..ด้วยสายตาแห่งการเพ่งพินิจถึงสถานการณ์ของโลกกว้าง..ที่ “ชาย” สามารถตีความและหยั่งเห็นรสชาติของความสูญเสียอันพล่าผลาญความเป็นชีวิตนั้นๆ..

..โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นไกลแสนไกลด้วยภาวะสงครามไม่ว่าจะเป็นที่ ฮามาส ปาเลสไตน์ หรือ อิสราเอล จึงได้กลายมาเป็นสาระสำคัญแห่งความเป็นกวี..ผู้สร้างธารสำนึก..แห่งการเปรียบเปรยอันแยบยล..!

นั่นคือประเด็นที่นำไปสู่คำถาม..อันสะกิดปริศนาที่ว่าใครคือ “จอมปล้นฝันของมนุษยชาติ” กันแน่..!

“ท้องฟ้าเช้าร้าวรวบดจรวดโถม/แรงครึกโครมโน้มถ่วงท่วงวิถี/ถล่มบ้านย่านเหย้าเถ้าธุลี/ฟ้าหม่นมิคสัญญีขยี้ดิน../

....หยุดปล้นฝันฟ้าแจ้งแสงสีขาว/แฉกดวงดาวเสี้ยวเดือนคอยเตือนห้าม/แรงเกลียดชังดั่งไฟลุกไหม้ลาม/ฝากสันติผลิงามอร่ามอรุณ..”/..

หากมองเข้ามาใกล้..จากภาพไกลในเชิงประจักษ์..ภาพชีวิตเล็กๆก็ปรากฏขึ้นเป็นเนื้อหาของความเป็นบทกวี..ที่มีเงาสะท้อน..เป็นนัยแห่ง"ประพันธกรรมชีวิต"ที่ก่อตัวขึ้นจากความเงียบของการรู้สึกเห็น..!

"..เพราะความเหงาเร้าจิตอธิษฐาน/ขอดวงเพ็ญประทานพรสูาฝัน/โปรดตนเป็นอื่นใดใต้แสงจันทร์/พ้นจากฉันพ้นจากโลกแสนวุ่นวาย/ ขอจำแลงแปลงเป็นเเมวตัวน้อย/ตะครุบฝอยดอกหญ้าหางกระต่าย/นอนขี้เกียจคุดคู้อยู่สบาย/กลางคืนคล้ายสนามซนผจญภัย/ แล้วย่องเงียบเหยียบยังหลังคาบ้าน/ย่างสู่ย่านเมืองเก่าเหย้าหยากไย่/เห็นยายตายย่าปู่อยู่ร่ำไป/คนหนุ่มสาวอยู่ไหนไม่พบพาน”/ “โลกของผู้ชรา” คือโลกของการเป็นเสียยิ่งกว่าปัจเจก..ไม่เสรีแม้ชีวิตจะตกอยู่กับเวิ้งชีวิตแห่งความเสรี...เนื่องเพราะ..โลกและสังขารได้ตอกตรึงชีวิตเอาไว้กับความเดียวดายแห่งภาะลวงตาเสียแล้ว..!

“..โลกรีบร้อนแต่ทำไมเงียบงัน/โลกละครทุกข์กี่เทียบที่เหยียบข้าม/ภาพลวงตาคอยลวงใจในโมงยาม/ยายครั่นคร้ามความตายอยู่ดายเดียว..”/ในเชิงชั้นแห่งการสร้างสรรค์บทกวีในแต่ละบท.. “ชาย” ใช้การตีความเรื่องราวในแต่ละบทตอน ก่อนจะเลือกประเภทของวิถีแห่งการประพันธ์..ห่อหุ้มความเป็นบทกวี..และแสดง “ภาพรวม” ของ ศิลปะการประพันธ์ออกมาได้อย่างสอดคล้องเป็นเนื้อนัยเดียว..นี่คือจุดเด่นที่เปิดกว้างสู่ความเป็นศักยภาพ..ของ “ผู้เป็นกวี” ในส่วนหนึ่ง..

“อะไรคือประสงค์ เจตจำนงคงสู่คน/ปัญญาประดิษฐ์กล เผยเหตุผลล้นพรั่งพรู/..ต่อเชื่อมหรือเอื้อมต่อ พันล้านจ่อขอยอดดู/สายใยใครชุบชู ตัวตนอยู่ที่ทางใด/กระแสประกาศิต หลงเสพติดหรืออ่อนไหว/มือคุมกุมมือใคร ต่างยอมใจหรือจำยอม..”  การมองเห็นและการพิเคราะห์โลกร่วมสมัย..เป็นฉากแสดงสำคัญที่ “ชาย” ส่องสะท้อนออกมาอย่างขื่นขม..ทุกข์ระทม..!

 “ลูกเมียทอดทิ้งระทม/ครอบครัวขื่นขม/พ่อ แม่ ญาติ มิตร บ้านนา/ มิพบรบกวนพึ่งพา/เดิมลำบากมา/หนักหนาอยู่แล้วอย่าเลย/

..ขอเป็นอิสระชนเอย/ร่อนเร่เฉยเมย/ช่างโลก ชิงชัง เชือนแช”/ประสบการณ์จากการเรียนรู้ของ “ชาย”.. ในการใช้รูปรอยแห่งการประพันธ์ ประกอบสร้าง..บทกวีของเขาให้เป็นทั้งความงาม และความหมาย..โดยต่อเนื่อง น่าติดตาม และ..ส่องสะท้อนถึงเนื้อแท้แห่งชีวิต..ที่ควรจะเป็น..!นั่นเป็นลำดับการณ์แห่งการถอดรื้อชีวิต..จนบรรลุถึงแก่นสารของบทกวี..ที่เบิกประจานสังคม อันชวนหดหู่ และ หม่นเศร้ายิ่ง..!

“หยิบปืนยื่นอำนาจ/กระหน่ำกราดขาดใจคราง/ไม่เห็นเส้นฟ้าสาง/ดอกจันทน์วางร่างเนื้อเย็น/..อกเอ๋ย ดอกไม้อ่อน/น้ำค้างซ่อนก่อนกระเซ็น/เงาปืนกลืนคนเป็น/ม่านหมอกเร้นจิตวิญญาณ/ดอกไม้เจ้าดอกน้อย/หยุดเกี่ยวก้อยก็เกลื่อนลาน/กระสุนร้อนเพลิงผลาญ/มือหยาบกร้านกำกลีบโปรย..”

...การเป็นนักสังเกตการณ์และเป็นผู้ติดตามข่าวสารของสังคมในมิติของการเพ่งพินิจ..ทำให้เนื้อหาของบทกวี..ที่ “ชาย” สร้างสรรค์ขึ้นส่วนหนึ่ง..ดำเนินไปด้วยแรงส่งแห่งใจในด้านคุณธรรม..เป็นแบบสำนึกแห่งใจ..ที่จริงใจ..!

*จุดสำคัญที่ทำให้รวมบทกวีชุดนี้..มีส่วนที่สะดุดตาสะดุดใจในการเล่าเรื่อง..ก็คือการใช้ภาพลักษณ์ในศาสตร์แห่ง “การละคร” มาเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่อง..อย่างเข้าใจในสังคมที่เต็มไปด้วย “มายาชีวิต” ..เป็นการขยายเพื่อเข้าใกล้นัยแสดงของความจริงที่เร้นซ่อน..ให้มีตัวตนขึ้นในเจตจำนงของการหยั่งเห็นที่แท้..!

..นั่นคือ..โครงข่ายแห่ง"เค้าโครงเรื่องของคนกลืนฝนอันตกหล่นจากโรงละคร.."อันเป็นบทกวีที่สะท้อนถึง..ผลรวมแห่งจิตวิญญาณทั้งหมด...ของความมี..ความเป็น..อันกลืนกลาย..และหลีกเร้น..! เห็นถึง.."ความปิติในขมขื่น เเละ..ความขมขื่นในปิติ..”

*ฉากที่ 4 ตัวละคร-เขา,ชายคนรัก,แม่เฒ่า สถานที่-ต้นไม้หน้าบ้านซอมซ่อ (ไฟแสงเดือนส่องลงมาตรงต้นไม้..) เขาหารือชายคนรักสักทางออก/เพียงคำว่าคนนอกตอกใจรักรู้คู่เดือนคือดาวราย/ชายคบชายคล้ายหิ่งห้อยคอยแสงจันทร์/ชายคนรักจักตัดใจไปให้ห่าง/พ่อ แม่  ลูก ควรเคียงข้างอย่างสุขสันต์/เขาแย้งว่าความรักกันและกัน/เป็นของชายคนรักนั้นทั้งหมดแล้ว/จึงขอแค่เมียเก่าเข้าอาศัย/พออยู่ไปในเบื้องต้นจนแน่แน่ว/พบเส้นทางสร้างชีวีเห็นวี่แวว/เมื่อคลาดแคล้วเรื่องร้ายค่อยย้ายไป/แม่เฒ่าเห็นเป็นความตามเหตุนั้น/รักยาวบั่นรักสั้นต่อพอถูไถ/คอยผูกเวรผูกกรรมจำชดใช้../มีเมตตามาอภัยเพื่อลูกน้อย/”

..นี่คือความในใจ..ในรูปรอยของบทกวี..ที่ร้อยเรียงต่อเนื่องกันด้วย “ปณิธานชีวิต”..เห็นความจริงใจแห่งความทุกข์ความสุขและความฝันนานาอยู่ในนั้น..! ความมุ่งมั่นในการจัดวางเพื่อการสร้างสรรค์งานทั้งรูปแบบเเละเนื้อหา..ส่งผลให้"คนกลืนฝนฯ “กลายเป็น” ความทรงจำใหม่ ที่ต้องทำความเข้าใจและต้องตีความ..ตลอดไป..!

“ชาย แสงอากาศ”..คือความทรงจำในลักษณะนั้นที่เกิดขึ้นแล้ว..! สำนึกทั้งหมดทั้งมวลของเขาคือสิ่งที่แสดง..และ “เปิดประตูชีวิต” ออกมา..ให้ได้เห็น..!

*หากมีการพิจารณาในการใช้ภาษา ปรับแต่ง “คำแห่งถ้อยคำ” ..ปรับแต่ง “ความหมายแห่ง..ความเป็นความหมาย” ให้มากกว่านี้..ผลงานทั้งหมดจะพุ่งเป้าเข้าหาจุดหมายอย่างแม่นตรงยิ่และกระทบใจยิ่งขึ้น..มันคือพลังแรงของจิตปัญญา..ที่จักต้องค้นพบด้วยผัสสะอันไร้"มายาคติ"แห่งตน..เพียงนั้น..!

"..คนกลืนฝนบางคนอยู่ไกลแสนไกล...ฝากหยดน้ำฝนสะท้อนความอ่อนไหวให้...รับรู้”

 

.

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.