DSI เขย่านายกฯใหม่ 'ก.ย.' ปิดจ็อบสอบพยานพันกว่าราย
GH News September 07, 2025 05:11 PM

‘DSI’ เผย พยานรู้เห็น ‘คดีฮั้ว สว.’ รับสารภาพ เปิดปากรับเงินคณะบุคคลลงสมัคร เพื่อเป็นโหวตเตอร์พลีชีพ ขณะที่ ‘พยานจังหวัดบุรีรัมย์’ เงียบกริบยกกลุ่ม คาด เดือน ก.ย. ไล่สอบปากคำพยาน 1,200 ราย กระจาย 45 จังหวัดเสร็จสิ้น 

7 ก.ย. 2568 – จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยเฉพาะคดีพิเศษที่ 24/2568 การสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำความผิดฐานอั้งยี่ฯ ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ซึ่งเป็นความคืบหน้าของการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.68 จนถึงปัจจุบัน 

โดยที่ผ่านมาคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องไปทั้งสิ้น 90 ปาก มีการจัดทำเหตุการณ์จำลองทั้งสถานที่ใช้ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และกระบวนการคัดเลือก พร้อมขอรับภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดที่เกี่ยวข้องในวันเกิดเหตุจากหลายหน่วยงาน มีการตรวจสอบร่องรอยทางการเงินพบว่ามีความเชื่อมโยงกัน 1,200 คน 

ทั้งนี้ เพื่อพิสูจน์ทราบความสัมพันธ์ของกลุ่มขบวนการจึงได้มีการตรวจสอบข้อมูลโทรศัพท์ จากข้อมูลการสืบสวนพบว่ามีผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาเกี่ยวข้องในพื้นที่ 45 จังหวัด เป็นเหตุให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ออกหมายเรียกอดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 1,200 ราย เพื่อเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในฐานะพยาน และเนื่องด้วยทางคดีมีพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องค่อนข้างมาก อธิบดีฯ จึงได้มอบหน่วยงานภายในสังกัดรวม 10 กองคดีที่เป็นคณะพนักงานสอบสวน เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม ต่อมาพบว่าบางรายจังหวัด อาทิ จ.บุรีรัมย์ พยานกลับไม่ให้ความร่วมมือเข้าพบพนักงานสอบสวน ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณีตรวจสอบขบวนการอั้งยี่ ฟอกเงิน สว. เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจาก 10 กองคดี ประกอบด้วย กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กองคดีความมั่นคง กองคดีภาษีอากร กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กองคดีทรัพย์สินทางปัญญา กองคดีค้ามนุษย์ และกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ให้ดำเนินการสอบสวนปากคำพยานทั้ง 1,200 ราย กระจายทั่วพื้นที่ 45 จังหวัด 

โดยทั้ง 1,200 รายนี้ มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า เป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ไปสมัคร สว. แต่กลับไม่ได้ลงคะแนนให้ตัวเอง และไปเลือกลงคะแนนให้บุคคลอื่นที่จัดตั้งขึ้น หรือเรียกว่าเป็นการพลีชีพ หรือเป็นเพียงโหวตเตอร์ จึงต้องสอบสวนมาให้ได้ซึ่งข้อเท็จจริงที่เป็นธรรม อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ คณะพนักงานสอบสวนได้มีการออกหมายเรียกพยานไปแล้ว 72 ราย โดยมีบางส่วนมาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพียง 18 ราย อาทิ พยาน 2 รายจาก จ.นครราชสีมา, พยาน 5 รายจาก จ.อุบลราชธานี และพยาน 11 รายจาก จ.อำนาจเจริญ ขณะที่พนักงานสอบสวนยังได้ออกหมายเรียกพยานเพิ่มเติมอีก 480 ราย

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยอีกว่า สำหรับภาพรวมการสอบสวนปากคำพยาน กลับพบว่าไม่ค่อยให้ความร่วมมือเข้าพบพนักงานสอบสวน และไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสำนวนคดี เช่น ให้การว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้อง ไม่ได้รู้เห็นกับขบวนการ ไม่รู้เห็นเรื่องเส้นทางการเงิน แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีพยานบางส่วนจากพื้นที่จังหวัดหนึ่ง ได้ให้การที่เป็นประโยชน์อย่างมาก รับสารภาพว่า ตนนั้นรับเงินจากคณะบุคคลเพื่อมาลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา แต่กำหนดหน้าที่เพียงแค่ให้ลงสมัครเพื่อเข้าไปโหวตคนอื่นให้เข้ารอบเท่านั้น 

ทั้งนี้ หากมองเฉพาะในส่วนของพยานในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีการออกหมายเรียกไป 24 รายก่อนหน้านี้ ล่าสุดก็ยังไม่มีใครเข้ามาพบพนักงานสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนมองว่าพยานอาจติดขัดเรื่องธุระใด ๆ เราก็ไม่ไปเร่งรัดกดดัน แต่จะต้องมีการลงพื้นที่ไปพบพยานอีกครั้ง รวมถึงพยานในพื้นที่จังหวัดอื่นด้วยที่ยังขอเลื่อนไม่เข้าพบพนักงานสอบสวน ก็ต้องลงพื้นที่ซ้ำอีกครั้ง และพยายามไล่เรียงสอบปากคำพยานให้ครบทั้ง 1,200 รายเพื่อนำเข้าสำนวน

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยต่อว่า ในกรณีการออกหมายเรียกพยาน หากมีหมายเรียกพยานครั้งที่ 2 รวมถึงมีพฤติการณ์ไม่ให้ความร่วมมือ ขัดหมายเรียกพยาน พนักงานสอบสวนจะประมวลรายละเอียดทั้งหมด เนื่องจากพยานแต่ละรายอาจมีข้อจำเป็นที่แตกต่างกัน พยานแต่ละจังหวัดก็ไม่เหมือนกัน เพื่อจะได้พิจารณาแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ เพื่อให้ตำรวจดำเนินคดีในส่วนของการขัดหมายเรียกพยานต่อไป แต่ยืนยันว่าในตอนนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังไม่มีการแจ้งความขัดหมายเรียกกับพยานรายใด ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าภายในเดือน ก.ย. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะสามารถทยอยสอบสวนปากคำพยาน 1,200 ราย ทั้ง 45 จังหวัดเสร็จสิ้น

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ปิดท้ายว่า แม้ว่าการเมืองจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร และมีการพุ่งเป้าถึงสำนวนคดีอั้งยี่ ฟอกเงิน สว. ของดีเอสไอว่าจะเป็นอย่างไรนั้น คณะพนักงานสอบสวนไม่ถือเป็นข้อหนักใจ ก็ต้องดำเนินการตามพยานหลักฐาน เพราะเราทำตามกรอบอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนเรื่องคดีฮั้ว สว. ตามกฎหมายการเลือกตั้งที่ก่อนหน้านี้ดำเนินการโดยคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 ได้มีการส่งไปถึงชั้นที่ 2 (รับผิดชอบโดยรองเลขาธิการ กกต.ที่ได้รับมอบหมาย) ส่วนนี้ก็เป็นพยานหลักฐานคู่ขนานกับคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ของดีเอสไอ 

ดังนั้น หากส่วนของ กกต. มีความชัดเจนในกลุ่มของผู้กระทำความผิด ก็เป็นเหมือนน้ำหนักค้ำยันพยานหลักฐานระหว่างสำนวนคดีอาญาได้ด้วย ซึ่งสำนวนคดีอั้งยี่-ฟอกเงินของดีเอสไอ หากพบหลักฐานผู้กระทำความผิด ดีเอสไอก็สามารถทยอยส่งฟ้องแต่ละล็อตไปยังพนักงานอัยการคดีพิเศษก่อนได้ หรืออาจรวมเป็นสำนวนกลุ่มใหญ่ภาพรวมก็ได้ อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและอำนาจของอธิบดีดีเอสไอ. 

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.