เทรนด์สุขภาพจิตไทยโตแรง แซงตลาดโลก คนรุ่นใหม่เปิดใจรักษา แต่ยังมีโจทย์ใหญ่
GH News September 10, 2025 08:20 PM
คอลัมน์: สัมภาษณ์พิเศษผู้เขียน: สุวัฑ แซงลาด

BMHH เผยตลาดสุขภาพจิตไทยขยายตัวแรงกว่าค่าเฉลี่ยโลก 2 เท่า ท่ามกลางโอกาสธุรกิจ Mental Health ที่โตวันโตคืน แต่ยังเจอโจทย์ใหญ่ ทั้งบุคลากรจิตเวชขาดแคลน กฎหมายตามไม่ทันเทคโนโลยี แพทย์ชี้ต้องเร่งลดตราบาปในสังคม และเสริมการเข้าถึงบริการเชิงคุณภาพ

ปัญหาสุขภาพจิตรุนแรงขึ้น ตัวเลขล่าสุดพบมีคนไทยเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายถึง 5,172 คนต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 14 คน และมีจำนวนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ขณะเดียวกันธุรกิจสุขภาพจิตในไทยเติบโตกว่า 8% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก มูลค่าตลาดทะลุ 6.2 แสนล้านบาท เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าคนไทยให้ความสนใจเรื่องนี้มากขึ้น

ล่าสุด ‘ประชาชาติธุรกิจ’ ได้เปิดมุมมองถึงเรื่องนี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟ กับ พญ.ปวีณา ศรีมโนทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Bangkok Mental Health Hospital หรือ BMHH โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านสุขภาพจิต และศูนย์รักษาโรคซึมเศร้าครบวงจร

เทรนด์สุขภาพจิตไทยเติบโตถึงไหน ในตลาดโลก?

พญ.ปวีณา เปิดเผยว่า เทรนด์สุขภาพจิตในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการศึกษาของต่างประเทศคาดว่าในประเทศไทยจะโตขึ้น 8% ต่อปี ซึ่งถ้าเทียบกับตลาดโลกซึ่งอยู่ที่ 3-4.2% นับว่าเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างสูง

ประกอบกับกระแสในสังคมไทยช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งของภาครัฐ โดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสารารณสุขให้ความสำคัญ ผลักดันนโยบายเรื่องสุขภาพจิตอย่างจริงจัง การผลักดันให้สังคมตระหนักรู้และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต การขยายช่องทางการรับบริการ นอกเหนือจาก รพ เป็นการใช้ Application หรือสายด่วนกรมสุขภาพจิต ทำให้เข้าถึงได้ง่าย ซึ่งข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตพบว่ามีคนเข้าถึงบริการ Application 6 ล้านคน ในจำนวนนี้เสี่ยงเป็นซึมเศร้า 9.14% และเสี่ยงฆ่าตัวตาย 5.18%

ขณะที่ ภาคเอกชน ในส่วนของธุรกิจโรงพยาบาลมีการขยายการบริการด้านสุขภาพจิตมากขึ้น ทั้งการสร้างโรงพยาบาลใหม่ หรือการพัฒนา Application ให้คำปรึกษาผ่านออนไลน์ นอกจากนี้ในภาคธุรกิจอื่นๆ อาทิ โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือบริษัทชั้นนำ ที่เริ่มให้ความสนใจต่อปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้นย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยขับเคลื่อนธุรกิจสุขภาพจิต

ส่วนปัจจัยที่ขับเคลื่อนธุรกิจสุขภาพจิตและบริการคอนซัลต์ให้เติบโตสามารถแบ่งออกเป็นทั้งเชิงบวกและเชิงลบ ดังนี้

เชิงบวก

  • ปัจจัยทางสังคม การรับรู้ที่มากขึ้น ทำให้มีความเข้าใจ รู้ว่าเมื่อไรต้องการความช่วยเหลือ ความเข้าใจของคนในสังคม ที่ลดการตราหน้าผู้ป่วยสุขภาพจิต ยอมรับและให้ความช่วยเหลือกันมากขึ้น
  • ปัจจัยเรื่องเทคโนโลยี ต้องยอมรับว่าเป็นกระแสสำหรับทุกอย่างในตอนนี้ การพัฒนา Application ต่างๆ ตั้งแต่ ป้องกัน การฝึกตัวเอง จนถึงการรักษาพยาบาล คาดว่าจะมีการพัฒนาในอะไรที่ใหม่และทันสมัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในระยะ 3-5 ปีนี้
  • การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิต และการรักษาพยาบาลที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และมีทางเลือกเพิ่มขึ้น

เชิงลบ

  • ความชุกของโรคที่เพิ่มขึ้น เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาเสพติด
  • สภาวะทางสังคม และเศรษฐกิจ ที่เปลี่ยนไป ย่อมทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย
  • สังคม Online ที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งขึ้นอยู่ที่การเลือกเสพสื่อ

“ปัจจุบันสังคมมีความรับรู้และเข้าใจเรื่องสุขภาพจิตมากขึ้น คนรุ่นใหม่กล้าที่จะขอความช่วยเหลือและเข้ารับบริการได้ง่ายขึ้น เทคโนโลยีก็มีบทบาทสำคัญ AI และแอปพลิเคชันต่างๆ ช่วยให้การเข้าถึงบริการง่ายขึ้น เช่น การปรึกษาผ่าน Telehealth ซึ่งเป็นทางเลือกนอกเหนือจากการไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ส่วนในเชิงลบพบว่าจำนวนผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล

และพบมากขึ้นในวัยรุ่นซึ่งมีปัญหาจากการใช้ยาเสพติด ส่งผลให้มีอาการทางจิตเวชตามมา ทั้งยังมีปัญหาเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไป เช่น ครอบครัวเดี่ยวที่มากขึ้น ทำให้ความเครียดเกิดง่ายขึ้น นอกจากนี้ สังคมออนไลน์ก็มีทั้งด้านบวกและลบ ขึ้นอยู่กับว่าผู้เสพเลือกรับสื่อแบบไหน บางคอนเทนต์อาจเป็นประโยชน์ แต่บางคอนเทนต์อาจกระตุ้นให้สุขภาพจิตแย่ลง” พญ.ปวีณา กล่าว

คนไทยหันมาใช้บริการสุขภาพจิตมากขึ้น

พญ.ปวีณา กล่าวต่อว่า ข้อมูลจากกระทรวงสารารณสุข พบจำนวนผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าใน 6 ปี โดยกลุ่มหลักจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน ขณะที่ข้อมูลจาก BMHH พบว่า 10-20% เป็นผู้ที่ไม่ป่วยมาโรงพยาบาล แต่มาเพื่อปรึกษาและป้องกันปัญหา หรือจัดการกับสิ่งที่เผชิญอยู่ ซึ่งคนกลุ่มนี้ยังไม่เป็นโรคแต่มีปัญหาด้านจิตใจ แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่เริ่มมองว่าเรื่องสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติและเปิดใจมากขึ้นที่จะเข้ามาปรึกษา

ขณะเดียวกัน ยังพบว่าการยอมรับการพบจิตแพทย์/นักจิตวิทยาในสังคมไทยยังมี Stigma (ตราบาป) อยู่ เนื่องจากเป็นรากฐานเดิมของสังคมที่มองว่าหาจิตแพทย์ แปลว่าเป็น ‘โรคจิต’ หรืออาจรู้สึกว่าคนอื่นจะมองว่าตนเองอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง กลัวถูกคนรอบข้างตัดสิน นินทา ส่วนนึงอาจเกิดจากความไม่เข้าใจเรื่องสุขภาพจิต แต่แนวโน้มเรื่องนี้จะดีขึ้นเรื่อยๆ จากที่คนรุ่นใหม่เปิดใจมากขึ้น และมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ รวมทั้งเหล่าดาราหรือผู้มีชื่อเสียงก็ออกมาพูดถึงการเจ็บป่วยด้านสุขภาพจิตของตนเอง ซึ่งช่วยให้สังคมมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาและให้กำลังใจกันมากขึ้น

ตลาดสุขภาพจิตในไทย เติบโตได้ถึงไหน?

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BMHH ยังกล่าวอีกว่า ในประเทศไทยแม้ยังไม่มีการจัดเก็บหรือรวบรวมตัวเลขตลาดสุขภาพจิตที่แน่นอน แต่ข้อมูลจาก IMARC Group ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดและให้คำปรึกษาด้านธุรกิจชั้นนำระดับโลก (ปี 2024): รายงานของ IMARC Group ระบุว่า ตลาดสุขภาพจิตในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 17.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 6.27 แสนล้านบาท) ในปี 2024 CAGR 8.89%

ส่วนการเติบโตของบริการเทเลเฮลท์และแอปพลิเคชันให้คำปรึกษา ถือว่ามีการเติบโตที่โดดเด่นที่สุดในแง่ของอัตราการขยายตัวและจำนวนผู้ใช้งานรายใหม่ เนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้งบประมาณในการสร้างโรงพยาบาลหรือคลินิก ทั้งยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในวงกว้างและลดอุปสรรคต่างๆ ในการเข้าถึงได้ดีที่สุด

ขณะเดียวกัน ด้านการลงทุนของสตาร์ตอัพ-เฮลท์เทค ยังคงมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะยังไม่มีผู้เล่นในจำนวนมากเท่าที่ควร เนื่องจากในประเทศไทยมีข้อกฎหมายเข้ามากำกับในเรื่องของการรักษาทางไกล ความน่าเชื่อถือ และการเก็บข้อมูลต่างๆ หรือในส่วนของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่จะมาให้คำปรึกษาอาจยังมีจำนวนไม่มากพอ

ส่วนกรณีของสวัสดิการองค์กร แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อาจเป็นรูปแบบของการปรึกษาออนไลน์ หรือจ้างนักจิตวิทยา/จิตแพทย์ประจำบริษัทโดยตรง ซึ่งอาจไม่ได้มาถึงโรงพยาบาลทันที แต่นับว่ามีส่วนช่วยพนักงานได้มาก คาดว่าเทรนด์นี้จะช่วยผลักดันธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เรียกว่าเป็นโอกาสที่น่าจะเติบโตไปได้ในอนาคต

สำหรับเรื่องประกันสุขภาพในปัจจุบันกรมธรรม์ที่คุ้มครองเรื่องสุขภาพจิตยังมีค่อนข้างน้อย และส่วนใหญ่ยังคงเน้นคุ้มครองสุขภาพกายเป็นหลัก ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวเนื่องกับวงการสุขภาพจิตก็พยายามผลักดันให้บริษัทประกันพิจารณาคุ้มครองโรคทางจิตเวชมากขึ้น เนื่องจากมองว่าทำให้ผู้ป่วยเสียประโยชน์ เพราะปัญหาสุขภาพจิต ถือ เป็นโรคเช่นกัน มีการหารือเรื่องนี้ในระดับภาครัฐ กับ คปภ. ซึ่งในอนาคตคงต้องรอดูว่าจะมีแนวโน้มไปในทิศทางใด

เทรนด์ Digital Mental Health จะมาแรงต่อเนื่องหรือไม่?

พญ.ปวีณา ให้มุมมองถึงประเด็นนี้ว่า เท่าที่ทราบทุกแอปพลิเคชันก็ขณะนี้มีการเข้าถึงจากผู้ใช้งานมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึง DMIND ของกรมสุขภาพจิตเองที่มีผู้เข้าใช้ 500,000 คน ขณะที่เทรนด์ Digital Mental Health มีข้อมูลเชิง Global คือ โต 14.6-18.5% แต่รายละเอียดของแต่ละแอป จะมีความแตกต่างกันไป เนื่องจากปัจจุบันเรื่องการรักษาพยาบาล มีกฎหมายดูแล เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ป่วย

อย่างไรก็ตาม ในบางแอปหรือช่องทางการสื่อสารทาง Social บางแพลตฟอร์มไม่มีการควบคุม ทำให้มีข้อมูลทาง Mental health ออกมาเต็มไปหมด แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าแหล่งข้อมูลนั้นน่าเชื่อถือ และขาดการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งมีเนื้อหาที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และคำแนะนำที่ไม่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันคนไทยใช้ Social media 49.1 ล้านคน ทำให้ข้อมูลสุขด้านภาพจิต Overload มาก จนนำไปสู่ปัญหา คือ บางคนเชื่อข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแล้วไปทำตาม หรือวินิจฉัยตัวเอง รักษาตัวเอง

แพลตฟอร์มดิจิทัล Vs พบแพทย์จริง

พญ.ปวีณา ระบุว่าการพบแพทย์ยังถือเป็นมาตรฐานการรักษาที่ดีที่สุด เนื่องจากแพทย์สามารถสังเกตได้ลึกซึ้งกว่า ทั้งการสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยก็ทำได้ดีกว่าเมื่อเจอหน้ากัน นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมของสถานพยาบาลที่ถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสมก็มีส่วนให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจ จึงช่วยให้การบำบัดทำได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังมีข้อจำกัดคือบางคนอาจไม่สะดวกต่อการเดินทาง ไม่อยากเจอคน หรือมีความกังวล

ส่วนแพลตฟอร์มดิจิทัล มีข้อดีคือ สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายและสะดวก เพราะผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกปลอดภัยที่ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน แต่มีข้อเสียคือการประเมินของแพทย์ในแอปอาจไม่ละเอียดและรอบด้านเทียบเท่าได้กับการเจอหน้ากัน และไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง นอกจากนี้ ความปลอดภัยของการเก็บข้อมูลส่วนตัวบนแอปพลิเคชันก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาละน่ากังวล

ข้อจำกัดธุรกิจสุขภาพจิตในไทย

สำหรับปัญหาข้อจำกัดด้านบุคลากรจิตเวชที่ใหญ่ที่สุด คือ จำนวนบุคลากร เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา พยาบาลเฉพาะทาง ยังมีไม่เพียงพอ ส่งผลให้คุณภาพการรักษาจำกัดและเกิดความล่าช้าในการเข้าถึงบริการ อย่างไรก็ตามหน่วยงานของภาครัฐที่เป็นต้นสังกัดจะมีนโยบายเพิ่มการผลิตอยู่แล้ว นอกจากนี้ ความรักในอาชีพและความเห็นอกเห็นใจผู้ป่วยก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ดูแล

ขณะเดียวกันประเด็นเรื่อง Stigma ในสังคมก็ยังคงมีอยู่ ทุกภาคส่วนยังต้องให้ความรู้แก่สังคมให้มากที่สุด เพื่อให้เข้าใจว่าการป่วยทางกายและใจเป็นเรื่องปกติ รวมทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย แม้เราจะมีสิทธิ์พื้นฐานที่ดี แต่ประกันชีวิตและประกันสุขภาพของภาคเอกชนยังมีข้อจำกัดในการคุ้มครองด้านสุขภาพจิต สุดท้ายคือเรื่องกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ที่อาจตามไม่ทันความก้าวหน้าของเทคโนโลยี เช่น AI ที่อาจวินิจฉัยโรคได้ ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ประชาชนจะได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง จนอาจทำให้เกิดการรักษาล่าช้า

BMHS ทางเลือกสุขภาพจิต รักษาซึมเศร้าครบวงจร

พญ.ปวีณา กล่าวว่า โรงพยาบาล BMHS ก่อตั้งขึ้นมาโดยวัตถุประสงค์คือเป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิต จากปัจจุบันที่สุขภาพจิตกลายเเป็นปัญหามากขึ้นแต่ช่องทางของการรักษาพยาบาลสำหรับประชาชนไทยที่ผ่านมาไม่เพียงพอ โรงพยาบาล BMHS จึงเป็นทางอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถเข้ามาช่วยซัพพอร์ตตรงนี้ได้นะคะ โดยเน้นเรื่องของ คุณภาพการรักษาพยาบาล ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคนไข้ เน้นเรื่องการข้าตรวจรักษาได้เร็ว แพทย์มีเวลาให้

รวมถึง มีกระบวนการรักษาโดยสหสาขา ทั้งแพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักจิตวิทยา ตลอดจนเน้นเรื่องของการวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เพราะว่าแต่ละคนภูมิหลังแตกต่างกัน ไม่ได้รับเหมือนกันได้ทุกคน ซึ่งสุขภาพจิตจริงๆ แล้วเป็นเรื่องละเอียดอ่อน บางทีเรามองเหมือนกับว่าไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้วมันอาจมีเรื่องซ่อนอยู่ภายในอยู่

“หลังจากที่เปิดโรงพยาบาลมาเป็นระยะเวลา 2 ปี แล้ว ล่าสุดได้เปิดตัวศูนย์รักษาโรคซึมเศร้าครบวงจร โดยจากการเก็บสถิติจำนวนผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการของโรงพยาบาล BMHS พบว่า ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง และพบในกลุ่มคนที่เป็นเด็กหรือวัยรุ่นมากขึ้น เด็กสุดที่พบคืออายุ 9 ขวบ

จึงเล็งเห็นว่าการดูแลรักษาโรคซึมเศร้าจริงๆ แล้วมันมีหลายวิธี หลายช่องทาง ไม่ใช่แค่ทานยาอย่างเดียว แต่มีการรักษาในรูปแบบอื่นๆ ด้วย เช่น นวัตกรรมใหม่ๆ และมีแนวคิดในการทำศูนย์รักษาโรคซึมเศร้าครบวงจรนี้ โดยมีทุกอย่างในกระบวนการการดูแล ตั้งแต่การประเมินตัวเองว่าป่วยหรือไม่ ผ่านแบบทดสอบคัดกรองสุขภาพจิต และแบบประเมินโรคซึมเศร้าของโรงพยาบาล” พญ.ปวีณา กล่าว

พญ.ปวีณา ศรีมโนทิพย์

พญ.ปวีณา ยังกล่าวอีกว่า ถ้าประเมินแล้วว่ามีความเสี่ยง ก็สามารถเข้ามาพบแพทย์ได้ ซึ่ง BMHS จะมีการดูแลในแบบสหสาขา คนไข้ทุกคนจะต้องถูกออกแบบการรักษาตามเรื่องราวและอาการของเขา ไม่ได้รักษาด้วยยาอย่างเดียว อาจจะมีรักษาอย่างอื่นเพิ่มเติม เช่น การใช้จิตบำบัด หรือการใช้เทคโนโลยีของโรงพยาบาลที่เรียกว่า TMS หรือว่า Deep Transcranial Magnetic Stimulator ที่ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปกระตุ้นสมอง ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ป่วยอาจจะเคยรักษายาก หรือดื้อยามา ช่วยให้อาการดีขึ้นได้

รวมทั้งยังมียาพ่นจมูกรักษาภาวะซึมเศร้า ที่ถูกพัฒนาขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา และมีการนำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อประมาณกลางปี 2567 ซึ่งเป็นยาที่อยู่ในการควบคุมของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ใช้ในการรักษาคนไข้ที่รักษายาก หรือผู้โรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงที่มีความคิดหรือพฤติกรรมฆ่าตัวตายร่วมด้วย เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีความปลอดภัย และต้องใช้ที่โรงพยาบาลภายใต้การดูแลของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

ความสมดุล “บริการเชิงพาณิชย์” กับ “ภารกิจเพื่อสังคม”

พญ.ปวีณา กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า แนวทางการทำงานของโรงพยาบาล BMHS มีความชัดเจนอยู่แล้วในเรื่องของการช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นอันดับแรก แน่นอนว่าด้วยความเป็นภาคเอกชน อาจจะไม่สามารถเข้าไปทำการรักษาผู้ป่วยในบางกลุ่ม ซึ่งในส่วนของ BMHS มองเรื่องภารกิจสารารณะเพื่อป้องกันปัญหาสังคม และได้ดำเนินการไป 3 ส่วนหลักๆ

1.การให้ความรู้โดยผู้เชี่ยวชาญผ่านทาง platform ต่างๆ โดยเน้นการให้ความรู้ที่ถูกต้องเท่านั้น

2.ในส่วนของการ Screening โรคหรือภาวะต่างๆ ซึ่งอยู่ใน website ของโรงพยาบาล สามารถเข้าไปประเมินตนเองได้ ไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่ต้องลงทะเบียนใดๆ เช่น ประเมินความเสี่ยงโรคซึมเศร้า และความเครียด เป็นต้น(ลิงก์: แบบทดสอบคัดกรองสุขภาพจิต, แบบประเมินโรคซึมเศร้า 9Q )

3.การจัดกิจกรรมโดยไม่มีค่าใช้จ่ายทั้งภายในและภายนอกองค์กร ซึ่งเราจะมีกิจกรรมที่ Tailor made ให้กับองค์กรภายนอก เช่น การ Workshop หรือ กิจกรรมสำหรับประชาชนทั่วไปที่สามารถลงทะเบียนเข้ามาร่วมงานได้ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

สถานการณ์การฆ่าตัวตายในไทยน่าเป็นห่วงแค่ไหน?

ตัวเลขล่าสุดคนไทยเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย 5,172 คน คิดเป็นอัตรา 7.9 ต่อแสนประชากร หรือเฉลี่ยวันละ 14 คน นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายสูงถึง 31,110 คน หรือเฉลี่ยวันละ 85 คน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาด้านสุขภาพจิตที่รุนแรงในสังคม

ซึ่งต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการฆ่าตัวตาย ไม่ได้เกิดจากปัญหาสุขภาพจิตเพียงอย่างเดียว แต่มีสาเหตุอื่นๆด้วย เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม เป็นต้น แน่นอนอย่างแรก คือ สามารถคัดกรองและประเมินความเสี่ยงได้ ถ้ารู้ต้องรีบเข้าไปรักษา ซึ่งการรักษาในปัจจุบันมี Technology ที่หลากหลาย และยาที่ทันสมัย

10 กันยายน: วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก

ปัญหาสุขภาพจิต เป็นเรื่องของทุกคน

พญ.ปวีณา กล่าวในช่วงท้ายว่า ปัญหาด้านสุขภาพจิต เป็นเรื่องของทุกคน ไม่ได้เป็นปัญหาส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง เนื่องจากมีผลกระทบต่อคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ที่ทำงาน หรือสังคม ซึ่งมีแนวทางดังนี้

1.ครอบครัวเป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้กับทุกคน และควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยโดยเฉพาะกับผู้ป่วย

2.การลด stigma ในสังคม ต้องเข้าใจว่า ร่างกายป่วยได้ จิตใจก็ป่วยได้ ไม่มีคนไข้คนไหนอยากป่วย สังคมต้องมีความ empathy ต่อกันมากกว่านี้

3.การเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้อง จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเพิ่ม หรือถูกหลอกลวง

4.องค์กร หรือหน่วยงานต่างๆ ต้องมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องสุขภาพจิตมากขึ้น เพื่อดูแลผู้ที่อยู่ในองค์กร ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือ บริษัทต่างๆ ถ้ามีช่องทางให้การช่วยเหลือพนักงานได้จะดีมาก

“โรคซึมเศร้าถ้าเรามองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และไม่ช่วยเหลือกัน มันจะแก้ไขได้ยาก อยากให้มองด้วยความเห็นอกเห็นใจ เพราะไม่มีใครอยากป่วย คนที่เป็นก็ทุกข์ทรมานอยู่แล้ว ครอบครัวก็ทุกข์ทรมานด้วย อยากให้คนในสังคมมี Empathy ต่อกัน แทนที่จะตัดสินหรือมองว่าพวกเขาเป็นตัวประหลาด อยากให้พยายามหาทางช่วยเหลือมากกว่า ” พญ.ปวีณา กล่าว

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.