‘เอกชน’ ไล่เลียง 4 ภารกิจ ‘ครม.อนุทิน1’ ฟื้นจีดีพีโต 2.5% วางรากฐานรับปี’69
GH News September 12, 2025 09:40 AM

‘เอกชน’ไล่เลียง4ภารกิจ‘ครม.อนุทิน1’
ฟื้นจีดีพีโต2.5%วางรากฐานรับปี’69

ท่ามกลางความคาดหวังการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ภายใต้กรอบการทำงาน 4 เดือน ก่อนยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ มีหลากหลายมุมมองจากภาคเอกชนอย่าง “อภิชาติ เกษมกุลศิริ” กรรมการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า 4 ภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลใหม่นี้

อันดับแรกต้องมีแนวทางที่ชัดเจนในการ แก้ปัญหาปากท้องประชาชนจากปัญหาที่รายได้ไม่พอกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น ถัดมาคือ การกระตุ้นกำลังซื้อสร้างความมั่นใจให้กับผู้มีความสามารถในการซื้อ มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน เพื่อลดภาระของประชาชน เพิ่มกำลังซื้อกลับเข้าตลาด และกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวให้กลับคืนมา ทั้งหมดเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เพื่อให้เศรษฐกิจไทยช่วงโค้งสุดท้าย 2568 สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย ถึงแม้ภาคการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการขึ้นภาษีศุลกากรเพื่อการนำเข้าจากสหรัฐที่อัตรา 19%

“ผมมองว่าเป็นเรื่องท้าทายสำหรับรัฐบาลนี้ ที่มีอายุการทำงานสั้น เขามีเดิมพันสูง ที่ต้องแสดงผลงานเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากประชาชน เพื่อที่จะได้รับการเลือกตั้งเข้ามาในสมัยหน้า จึงเป็นโอกาสสำหรับรัฐบาลของนายกฯอนุทินที่ต้องสร้างผลงาน ผมเชื่อว่าเขาจะเร่งสร้างผลงานที่เป็นประโยชน์กับประชาชนให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ในระยะเวลาที่จำกัด ทำให้ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยช่วงโค้งสุดท้ายของปีจะสามารถโตได้ตามเป้าที่วางไว้” อภิชาติกล่าว

มั่นใจเศรษฐกิจไทยโต 2-2.5%

อภิชาติกล่าวต่อว่า ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบกับเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจ มากกว่า คือ นโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าของสหรัฐอัตรา 19% แม้ลดลงจากเดิมที่ 36% ก็ตาม แต่ส่งผลกระทบโดยตรงกับภาคการส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐ ช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 ภาคการส่งออกของไทยเติบโตสูงมาก โดยเฉพาะการส่งออกไปสหรัฐ เพราะเร่งส่งออกก่อนที่มาตรการภาษีบังคับใช้ แต่นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่มาตรการภาษีมีผลบังคับใช้แล้วต้องติดตามว่าจะส่งผลกระทบอย่างไร และรัฐบาลเฉพาะกาลจะมีการเจรจาต่อรองการเปิดตลาดกับสหรัฐได้มากน้อยแค่ไหน ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงกระทบโดยตรงกับภาคการส่งออกช่วงโค้งสุดท้าย 2568 ต่อเนื่องถึงปี 2569

เมื่อภาคการส่งออกที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักที่มีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากกว่า 60% ของจีดีพีประเทศได้รับผลกระทบ การที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตได้ตามเป้าที่ 2-2.5% จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งเครื่องยนต์อื่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เครื่องยนต์แรก คือ การใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งงบปี 2569 ที่ผ่านรัฐสภาแล้ว วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เป็นกลไกแรกที่รัฐบาลต้องเร่งเบิกจ่ายเพื่อนำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ส่วนเครื่องมือถัดมาคือ การกระตุ้นภาคการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ปากท้องของประชาชน” ที่ปัจจุบันมีปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่าย มีการลดเงินเดือน และบางส่วนตกงาน เป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขและเยียวยา

“อย่างที่มีการพูดถึงเรื่องของคนละครึ่ง ผมมองว่าเป็นผลไม้ใกล้มือ ทำได้ง่ายและเร็วที่สุด ถึงมือประชาชนโดยตรง ถ้านำมาใช้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีจะสามารถกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศได้” อภิชาติกล่าว

นอกจากเรื่องปากท้องประชาชนแล้ว เรื่องที่ต้องทำเร่งด่วน คือ กระตุ้นกำลังซื้อจากคนที่มีกำลังซื้อ สถานการณ์ปัจจุบัน ประชาชนมีความไม่มั่นใจในรายได้ในอนาคตของตัวเอง ทำให้ชะลอการใช้จ่าย ต้องมีมาตรการช่วยให้ประชาชนมั่นใจ และจับจ่ายใช้สอย รวมถึงทำให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อ ปัญหาใหญ่ของภาคครัวเรือน คือ สถาบันการเงินระวังเรื่องหนี้เสีย จนไม่ปล่อยสินเชื่อ อย่างสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมีอัตราการปฏิเสธสูงถึง 50% ทำให้ธุรกิจอสังหาฯไม่เกิดการหมุนเวียน ทั้งที่เป็นอุตสาหกรรมสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้ 3-4 เท่าตัว เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ที่เป็นคนนอกและมีประสบการณ์ในการทำงานด้านนี้ ต้องเข้ามาช่วยดูแล เพื่อให้เกิดพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกันการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน เป็นประเด็นสำคัญทำให้กำลังซื้อของภาคครัวเรือนลดลง เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องทำอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ปัจจุบันสัดส่วนของหนี้ครัวเรือนลดลงจาก 89% มาอยู่ที่ 85-87.5% แล้วก็ตาม แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง เป็นอีกเรื่องที่รัฐบาลต้องให้ความสนใจ รวมทั้งการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว จากข้อมูลการท่องเที่ยว 7 เดือนแรก 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 6% รัฐบาลต้องให้ความสำคัญว่าจะแก้ไขปัญหาและทำให้ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของไทยกลับคืนมาได้อย่างไร โดยเฉพาะช่วงฤดูการท่องเที่ยวปลายปีนี้ เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่ภาคการส่งออกเผชิญกับปัญหาภาษีจากสหรัฐ

“ผมมองว่าทั้ง 4 ภารกิจ เรื่องปากท้องประชาชน ภาระหนี้ครัวเรือน การกระตุ้นกำลังซื้อ และการท่องเที่ยว เป็น 4 ภารกิจที่รัฐบาลนี้ต้องเร่งทำ รวมถึงเร่งเบิกจ่ายงบปี 2569 เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้ ถ้ารัฐบาลทำทั้งหมดผมเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาสสุดท้าย 2568 จะเติบโตได้ตามที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย คาดไว้ที่ 2-2.5% จากครึ่งแรก เศรษฐกิจไทยมีอัตราโตที่ 3%” อภิชาติกล่าว

ปี 2569 ปีแห่งการปรับตัว

สำหรับแนวโน้มในปี 2569 ซึ่งเป็นปีของการเลือกตั้งนั้น อภิชาติให้ความเห็นว่า เป็นปีที่ภาคธุรกิจต้องปรับตัว เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนองค์กรภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศที่มาจากปัจจัยทางการเมือง ต้องมีการเลือกตั้งแน่นอน ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ต้องเผชิญกับโครงสร้างภาษีใหม่ของสหรัฐ ภาระหนี้สูงทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เป็นเรื่องที่ท้าทายและเป็นโอกาสสำหรับภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวและใช้การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี มาเป็นโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกิจให้สามารถก้าวข้ามสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนและความผันผวนไปให้ได้

สำหรับแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสสุดท้ายปี 2568 และแนวโน้มปี 2569 อภิชาติกล่าวว่า ช่วง 9 เดือนแรก 2568 ภาคอสังหาริมทรัพย์ปรับตัว โดยลดเปิดตัวโครงการใหม่และเน้นเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อรับมือภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อชะลอตัว คาดว่าหลายบริษัทจะเริ่มเปิดตัวโครงการใหม่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ แต่ภาพรวมทั้งปีการเปิดโครงการใหม่และการโอนกรรมสิทธิ์ มีแนวโน้มชะลอตัวเทียบกับปีก่อน

“ช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ภาคอสังหาฯมีแนวโน้มค่อยๆ ดีขึ้น เพราะภาคธุรกิจได้ปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการตลาด สะท้อนจากเริ่มเห็นหลายโครงการเปิดมาแล้ว ขายหมด เพราะมีการปรับราคาลงให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เช่นเดียวกับปี 2569 ผมมองว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อผู้ประกอบการสามารถพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อ ยังเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ” อภิชาติกล่าว

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.