ผ่านชีวิตที่เต็มไปด้วยความพลัดพราก ความยากจน และแรงกดดันจากการถูกมองว่า “ได้โอกาสเพราะเป็นน้องเจ้าของ” แต่ทุกก้าวที่ล้ม ทุกหนี้ที่แบก และทุกวิกฤตที่เผชิญ กลับกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้กลับมายืนขึ้นใหม่ได้เสมอ
เรื่องราวของ “คมชัย แซ่ลี” ไม่ได้มีเพียงเส้นทางสู่ความสำเร็จ แต่คือบันทึกชีวิตจริงของคนที่ไม่ยอมแพ้
เขาเป็นผู้ก่อตั้งแฟรนไชส์พัสดุ “MySave” ที่ครั้งหนึ่งเคยขยายไปถึงต่างประเทศ ก่อนจะเผชิญหนี้สินกว่าร้อยล้านในวิกฤตโควิด แต่ไม่เคยคิดหนี เลือกเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ด้วยความจริงใจ บทเรียนจากครอบครัวแตกแยก พี่ชายผู้เป็นครูคนแรก และห้องเรียนธุรกิจจริงที่ Flash Express หล่อหลอมให้เข้าใจว่า โลกธุรกิจ เงินอาจหมดไป แต่ “เครดิต” และ “ความซื่อสัตย์” คือทุนที่ไม่มีวันสูญสลาย
ในหมู่บ้านบน “ดอยวาวี” อ.แม่สรวย จ.เชียงราย รองเท้าแตะที่เขาสวมอยู่ไม่ใช่คู่ใหม่ แต่เป็นรองเท้าแตะที่ผ่านการซ่อมจนเชือกผูกแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อยางไปแล้ว ข้างหนึ่งสีเขียว อีกข้างสีฟ้า ความไม่เข้าคู่ไม่ได้เป็นเรื่องน่าอาย แต่คือเครื่องหมายสะท้อน “ความยากจน”
คมชัยเกิดมาในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน บ้านแตกแยกตั้งแต่ยังเล็ก เลือดเนื้อเชื้อไขกระจัดกระจาย พี่ชายไปอยู่กับพ่อ ส่วนเขาและน้องสาวต้องไปอยู่กับแม่ สุดท้ายชะตาพลิกให้สองพี่น้องเข้าไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า
คมชัยเกิดมาในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน บ้านแตกแยกตั้งแต่ยังเล็ก เลือดเนื้อเชื้อไขกระจัดกระจาย พี่ชายไปอยู่กับพ่อ ส่วนเขาและน้องสาวต้องไปอยู่กับแม่ สุดท้ายชะตาพลิกให้สองพี่น้องเข้าไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า
เวลาเล่นสนุกของสองพี่น้อง กลายเป็นโมงยามแห่งการเรียนรู้ พี่ชายมักจะถ่ายทอดเรื่องราวในช่วงวัยที่เขายังไปไม่ถึง ทั้งเรื่องการเรียน และการใช้ชีวิต
ความยากจนในวันนั้นไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ หากแต่หมายถึงการต้องรับเสื้อผ้าเก่าต่อจากรุ่นพี่ในหมู่บ้าน ความจนที่ฝังรากลึกเช่นนี้ มองย้อนกลับไปจากวัย 30 ถึงทำให้เข้าใจคำว่า “ขาด” คืออะไร
“หนทางเดียวที่จะเปลี่ยนชีวิตได้คือการศึกษา” ประโยคที่พี่ชายย้ำเตือนเขาและกลายเป็นเข็มทิศในชีวิต
เด็กชายวัยเก้าขวบก้มหน้าไปเรียนด้วยแรงศรัทธาที่ว่า “ถ้ามีความรู้ติดตัว วันหนึ่งจะไม่ต้องหวนกลับมาทนความหิวโหยแบบเดิมอีก” หากกลับกลายเป็นแรงผลักดัน เมื่อการศึกษาสูง ฐานะทางบ้านก็ดีขึ้น
“คมสันต์ แซ่ลี” พี่ชายที่เป็นทั้งต้นแบบ เพื่อน และครูคนแรกในเส้นทางธุรกิจ
สิ่งแรกๆ ที่เขาสอนคือ “มองไปข้างหน้าเสมอ” ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใด
“อย่าเลือกเรียนแค่เพราะใครๆ ก็เลือก แต่ให้มองว่ามันพาไปสู่โอกาสแบบไหน”
อีกบทเรียนที่ฝังลึกคือ การสร้างเครือข่าย ในมหาวิทยาลัย โดยคมชัยบอกน้องชายว่า “มึงต้องรู้จักเพื่อนต่างคณะอย่างน้อย 7 คน” เพื่อเป็นทุนชีวิตในอนาคต
“ถ้าอยากไปได้ไกล ต้องรู้จักคนให้กว้าง” หลักคิดง่าย ๆ แต่กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ภายหลังช่วยให้ติดต่อ ขอคำปรึกษา และหาทางออกให้ธุรกิจได้เสมอ
“เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น” ทุกครั้งที่ได้เจอกัน พี่ชายจะเล่าเรื่องราวที่พบเจอทั้งดีและร้าย ความสำเร็จ ความล้มเหลวอย่างไม่ปิดบัง เพราะเชื่อว่าการแบ่งปันความผิดพลาดของตนเองคือเกราะป้องกันไม่ให้น้องชายเดินซ้ำรอย
“โอกาสมักมาในรูปแบบที่เราคาดไม่ถึง ถ้าไม่เปิดใจ เราจะไม่มีวันเห็นมัน” เขาบอกถึงทักษะชีวิตควรมี เช่น การกล้าเข้าสังคมที่แตกต่าง ซึ่งเสมือนเป็นเส้นทางลัดที่ทำให้คมชัย ไม่เพียงมองเห็นโลกจากมุมมองของตัวเอง แต่ยังมองผ่านสายตาของพี่ชายก่อนเสมอ ทำให้มีความเข้าใจในสังคมลึกซึ้งขึ้นกว่าที่เพื่อนรุ่นเดียวกันจะสัมผัสได้
ในวันที่เพื่อนร่วมรุ่นใช้ชีวิตนักศึกษาไปกับกิจกรรมมหาวิทยาลัย เขาเลือกใช้เวลาไปกับการ “หารายได้”
ช่วงที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง มักเดินทางไปเชียงใหม่ทุกสัปดาห์เพื่อหาพี่ชาย พร้อมกับเริ่มทำธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง
พี่ชายแนะนำให้ลองใช้ WeChat เครื่องมือที่คนจีนยุคนั้นนิยม ฟังก์ชันค้นหาเพื่อนใกล้เคียงในแอปพลิเคชันถูกเปลี่ยนเป็น “ช่องทางทำมาหากิน” ใช้ชื่อโปรไฟล์ว่า “เจสัน นักศึกษาไทยที่พูดจีนได้” พร้อมเปิดรับเพื่อนใหม่ที่เป็นนักท่องเที่ยวจีนในเชียงใหม่ เริ่มต้นการสนทนาด้วย “ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือในเชียงใหม่ ติดต่อผมได้”
สิ่งที่ตามมาคือ นักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากไม่รู้ว่าจะซื้อของฝากที่ไหนดี เช่ารถอย่างไร หรือจะไปเที่ยวที่ไหน เจสันจึงกลายเป็น “คนกลาง” ที่พาพวกคนเหล่านี้ไปยังร้านค้าและบริการต่าง ๆ ทำข้อตกลงกับเจ้าของร้านว่า หากพาลูกค้ามาซื้อ จะขอส่วนแบ่งเป็นค่าแนะนำ 10% จากยอดขาย ทำให้เขาสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นร้านขายเครื่องสำอางในย่านนิมมาน ร้านเช่ารถ หรือบริษัททัวร์ เจสันกลายเป็นคนรู้จักกับแทบทุกเจ้า รายได้ต่อเดือนพุ่งขึ้นถึงหลักแสนบาท เป็น “บทพิสูจน์แรก” ว่าความกล้าในการลองสิ่งใหม่ ๆ และการใช้ทักษะภาษาจีนมาแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้จริง
เครือข่ายคือพลัง การรู้จักคนมากขึ้นหมายถึงโอกาสมาก “การต่อรองผลประโยชน์” และ “การสร้างความพอใจให้ทุกฝ่าย” เจ้าของร้านค้าดีใจที่ได้ลูกค้าเพิ่ม นักท่องเที่ยวจีนสบายใจที่มีคนท้องถิ่นช่วยเหลือ ส่วนเขาเองก็ได้ค่าตอบแทนจากการเป็นสะพานเชื่อมโยง ทั้งหมดนี้คือจุดเริ่มต้นของ “นายหน้า” ค้าบริการ
สิ่งเหล่านี้ยืนยันว่า “ทักษะที่ถูกใช้ ถูกที่ ถูกเวลา สามารถเปลี่ยนชีวิตได้” เขาบอกเริ่มเข้าใจว่าโลกธุรกิจไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรอให้เรียนจบก่อน หากแต่ขยันให้ถูกที่ถูกเวลา ไม่ “โง่แต่เสือกขยัน”
หลังจากผ่านการทดลองทำธุรกิจด้วยตัวเอง ก็ก้าวเข้าสู่สนามที่ใหญ่กว่า “Flash Express” บริษัทขนส่งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดอีคอมเมิร์ซไทย สำหรับหลายคน การฝึกงานอาจเป็นเพียงแค่ขั้นตอนหนึ่งในหลักสูตรมหาวิทยาลัย แต่สำหรับคมชัย มันคือ “บริษัทของพี่ชาย”
ช่วงแรกที่เข้าไปฝึกงาน ได้รับมอบหมายให้อยู่ฝ่าย Product ต้องลงลึกในระบบขนส่ง ตั้งแต่รับพัสดุลูกค้า คัดแยกที่คลัง ไปจนถึงการจัดส่ง ทุกขั้นตอนต้องแม่นยำ เพราะความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยสามารถสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ได้เรียนรู้ตั้งแต่แรกว่า ธุรกิจบริการไม่ได้ขายแค่สินค้า แต่ขาย “ความเชื่อมั่น” ของลูกค้าด้วย
ถูกทดสอบความอดทนสารพัด เผชิญแรงต้านทันทีจากเสียงวิจารณ์ที่ว่า “ได้เข้ามาเพราะเป็นน้องเจ้าของ” คำครหาทำให้ต้องพิสูจน์ตัวเองมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ในแต่ละวัน เขาจึงเลือกลงไปอยู่กับพนักงานหน้างาน ทำความเข้าใจปัญหา มากกว่านั่งอยู่แต่ในห้องประชุม ทำเช่นนี้บ่อย ๆ เข้า ก็เริ่มเปลี่ยนมุมมองของเพื่อนร่วมงาน จากความไม่ไว้วางใจ กลายเป็นยอมรับในฝีมือ
2 ปีในบริษัทพี่ชาย เปิดโอกาสให้ได้หมุนเวียนในหลายแผนก ตั้งแต่หน้าร้าน สาขาประตูน้ำที่ต้องแข่งขันกับระบบการค้าปลีกสุดโหด ไปจนถึงคลังคัดแยกสินค้า เป็นที่มาของ “คลังแตก” ความวุ่นวายของพัสดุหมื่นหมื่นชิ้นต่อวัน ไม่ใช่สังเกตในฐานะเด็กฝึกงานบ้านรวย แต่ลงแรงจริง นำวิธีคิดง่าย ๆ แต่ได้ผลมาใช้ เช่น แจกเสื้อกั๊กสีต่าง ๆ ให้กับทีมงานแต่ละแผนกเพื่อให้รู้ชัดเจนว่าใครทำหน้าที่อะไร ช่วยแก้ปัญหาความโกลาหลในคลังขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความท้าทายที่หนักที่สุดคือดูแล “พื้นที่ที่แย่ที่สุด” มีปัญหาจัดส่งล่าช้า เสียงร้องเรียนก่นด่า คมชัยเลือกเผชิญหน้า แทนที่จะหลบเลี่ยง เรียกประชุมผู้จัดการสาขา และตั้งคำถามว่า “คุณรักพนักงานของคุณจริงหรือเปล่า” เขายอมรับว่า บังคับให้ทุกคนเข้าใจระบบค่าปรับและกฎเกณฑ์ทั้งหมด เพื่อปกป้องสิทธิของทีมงานและสร้างรายได้ที่มั่นคงขึ้น ผลลัพธ์คือ รายได้เฉลี่ยของไรเดอร์เพิ่มขึ้น จากพื้นที่ที่เคย “บ๊วย” ของประเทศกลับขึ้นมาติดท็อป 3 ในเวลาไม่กี่เดือน
หลังจากเก็บเกี่ยวบทเรียนเข้มข้น คมชัย มองเห็นสิ่งที่คนในวงการมองข้าม นั่นคือ “รอยแผล” ของตลาดขนส่ง “เพราะลูกค้าเลือกขนส่งเองไม่ได้”
3 จุดบกพร่อง สำคัญที่พบเจอคือ
จิตวิญญาณนายหน้าคือสร้าง “แพลตฟอร์มคนกลาง” รวบรวมทุกขนส่งไว้ในที่เดียว และเปิดเป็นแฟรนไชส์ให้คนทั่วไปสามารถลงทุนได้ ภายใต้ชื่อ “MySave”
โมเดลนี้ไม่ใช่แค่เป็นร้านรับส่งพัสดุ แต่คือระบบที่ตอบโจทย์ทุกฝ่าย ลูกค้าสามารถเลือกขนส่งที่เหมาะสมที่สุด พ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องปวดหัวกับการวิ่งหลายเจ้า และผู้ลงทุนสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจที่เชื่อมโยงกับความต้องการจริงของตลาด
ธุรกิจนี้เริ่มต้นในปี 2019 ท่ามกลางโควิด หลายคนมองว่านี่คือช่วงเวลาที่เสี่ยงที่สุด แต่มันคือเวลาที่ตลาดออนไลน์กำลังพุ่งทะยาน การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการขนส่งพัสดุกลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจ คล้ายว่าเห็น “คลื่นลูกใหม่” ที่กำลังจะถาโถมในพายุ จึงเลือกกระโจนลงไปทันที
MySave ถูกออกแบบมาให้เข้าถึงได้ง่าย แพ็กเกจเริ่มต้นเพียงไม่กี่พันบาทก็สามารถเปิดร้านได้ จุดนี้ทำให้ผู้คนจากหลายอาชีพเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของชำ ร้านเสริมสวย หรือแม้กระทั่งพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เอง กลายเป็น “รายได้เสริม” ที่ต่อยอดจากธุรกิจหลัก และค่อย ๆ ขยายตัวเป็นเครือข่ายทั่วประเทศ
ความแตกต่างจากคู่แข่งคือ ไม่ทิ้งสาขาไว้ลำพัง ในขณะที่เจ้าอื่นมักขายแพ็กเกจแล้วปล่อยให้สาขาดิ้นรนเอง คมชัยกลับสร้างทีมงานกว่า 40 คนกระจายอยู่ในต่างจังหวัด คอยช่วยเหลือ แนะนำ และฝึกอบรม เพื่อให้แต่ละสาขาสามารถยืนหยัดได้เองก่อน เริ่มลงทุนด้วยสายตาที่มองว่า “คุ้มค่ากว่า” การทิ้งให้เครือข่ายต้องล้มเหลวไปทีละแห่ง
จากเพียงไม่กี่สาขา เติบโตจนมีเครือข่ายนับพันสาขาในเวลาไม่กี่ปี ขยายตัวไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน หลายๆอย่างเกิดขึ้นแบบรวดเร็วก็นำมาซึ่งความเสี่ยง แต่คมชัยยืนหยัดในโมเดลที่ว่าและไม่ล้มไปง่ายๆ
ในเวลาที่หลายคนกำลังมองหาธุรกิจใหม่ คมชัยยืนยันว่า “นายหน้าไม่มีวันตาย” ตราบใดทียังมีผู้ซื้อและผู้ขายที่ต้องการคนกลางที่ไว้ใจได้ ปั้นเป็น “แพลตฟอร์มชุมชน” ที่สามารถขยายไปสู่บริการการเงิน การชำระค่าสาธารณูปโภค และแม้แต่ประกันภัย คล้ายกับสวมบทบาทเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ตั้งร้านสะดวกซื้อซะเอง
อย่างไรก็ตามปัญหาที่ตามมาคือ การขยายธุรกิจไปต่างประเทศอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม กลับกลายเป็นกับดักต้นทุนมหาศาล ต่างจากเมืองไทยที่สามารถเช่าพื้นที่รายเดือน ประเทศเพื่อนบ้านบังคับให้จ่ายค่าเช่ารวดเดียวทั้งปี พนักงานที่ส่งไปต้องทำวีซ่าทำงาน ค่าใช้จ่ายพุ่งพรวด ขณะเดียวกัน ระบบไอทีที่ใช้เชื่อมต่อบริการในหลายประเทศก็ต้องเร่งพัฒนา ใช้ทรัพยากรมหาศาลเกินกว่าที่ทีมงานเล็ก ๆ จะรับไหว
จากธุรกิจดาวรุ่ง กลับต้องแบกรับต้นทุนที่ขยายตัวเกินกำลัง เงินหมุนในมือร่อยหรอ เริ่มกู้ยืมจากเพื่อน ธนาคาร และแม้กระทั่งจากพี่ชาย ตัวเลขหนี้สะสมเพิ่มขึ้นจนทะลุ 100 ล้านบาท
ถึงจุดนั้นเขาต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ จะฝืนเดินหน้าต่อไป หวังว่าวิกฤตจะจบลงเร็ว ๆ หรือจะถอยเพื่อรักษาสิ่งที่ยังเหลืออยู่ พี่ชายแนะนำว่า “ถ้าดูแลทุกประเทศไม่ไหว ก็ต้องเลือกตัดทิ้งเพื่อรักษาบ้านให้รอด” คำพูดนี้ทำให้ตัดสินใจปิดกิจการต่างประเทศ เหลือไว้เพียงฐานแม่ในประเทศไทย
การถอยครั้งนั้นทำให้พนักงานหลายสิบชีวิตต้องออกจากงาน เครือข่ายที่เคยขยายตัวกลับถูกบีบให้เล็กลง แต่สิ่งที่คมชัยเลือกเก็บไว้คือ ความซื่อสัตย์ ตัดสินใจเรียกเจ้าหนี้เกือบสิบรายมานั่งพร้อมกันในห้องประชุม และพูดตรงไปตรงมาว่า “วันนี้ผมไม่มีเงินคืนตามแผนเดิมได้แล้ว แต่ผมไม่หนี นี่คือแผนใหม่ที่จะคืนให้ครบภายในสองปี”
ความจริงใจนี้ทำให้เจ้าหนี้ตัดสินใจให้โอกาส แม้ธุรกิจสะดุด แต่เครดิตของคนยังคงอยู่ รู้ทันทีว่าในโลกธุรกิจ เงินอาจหมดได้ แต่ความน่าเชื่อถือคือทุนที่มีค่าที่สุด
บทเรียนราคาร้อยล้าน สอนให้รู้ว่า การเติบโตเร็วเกินไปไม่ใช่คำตอบเสมอไป ธุรกิจไม่ได้วัดกันที่ใครเข้าตลาดก่อน แต่ใครยืนระยะได้นานกว่า ความมั่นคงต้องมาก่อนการขยายตัว และความซื่อสัตย์คือตัวแปรสำคัญ
ปัจจุบัน MySave มีบริษัทขนส่งเป็นพันธมิตร 14 แห่ง อาทิ ไปษณีย์ไทย , DHL , Kerry , flash express พนักงานกว่า 100 คน กำลังเติบโตด้วยยอดขายปี 2024 กว่า 700 ล้านบาท คมชัยพูดอย่างเต็มปากเต็มว่า “นี่แค่เริ่มต้นครับ”