ประชาธิปไตยไทย ถูกยึดไว้ด้วย “นักธุรกิจการเมือง” ทำตัวเป็น “เจ้าของพรรค” ดูแลการเมืองเป็นธุรกิจ อ้างประชาธิปไตยมาครองอำนาจรัฐ และ โกงชาติ โกงแผ่นดิน มากว่า 20 ปี ภายใต้ กลุ่มธุรกิจ “ชินวัตร” และ ก็ยังเห็นแนวทางการเมืองธุรกิจ พรรคมีเจ้าของ ทั่วไปอีกหลายพรรค
พรรคที่ดูจะเป็นสถาบัน เหลือเพียงพรรคประชาชน กับ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งระยะหลังถูกแปลงวิญญาณใต้ เฉลิมชัย-เดชอิศม์ ไปก่อนหน้านี้ การที่เฉลิมชัยได้ลาออกไปพร้อมๆกับการจำนนคืนสู่เรือนจำของทักษิณ…ทำให้เกิดความหวัง อยากเห็น การคืน นายกฯอภิสิทธิ์ ให้ประเทศไทย เพื่อฟ้าวันใหม่ พาไทยพ้นวิกฤตอีกครั้งจริงๆ
ในการเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทย และ พรรคประชาชน (ในหมวกพรรคก้าวไกล) ร่าเริงกับการหาเสียงง่ายๆ ด้วยเพียงการ “โกหก-ใส่ร้าย-ขยายความทุกข์” เรียกตัวเองว่า เป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ต่อต้านลุงตู่ ทั้ง 2 พรรค โกหกประชาชนว่า ที่เศรษฐกิจไม่ดี ลำบาก เพราะ อยู่ใต้อำนาจรัฐประหาร ทั้งที่ไทยก็เข้มแข็งมาก ก่อนโควิด มีนักท่องเที่ยวมาไทยกว่า 40 ล้านคน บัดนี้ ภายใต้รัฐบาลที่อ้างว่ารัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน แม้โควิดผ่านไปแล้ว 3 ปี ยังไม่แน่ใจว่าจะฟื้น ทำปีนี้ได้ถึง 36 ล้านคนไหม ? เศรษฐกิจฝืดเคือง รัฐบาลเพื่อไทยเตรียมจะมีโปรแกรมแจกเงินช่วยประชาชน แต่ก็ไม่ยอมรับ “แอปเป๋าตัง” คิดจะทำ “ดิจิตอลวอลเล็ต” ใหม่ ผลาญเงินชาติอีกมาก ก็ยังสู้ไม่ได้เลย…และไม่ยอมใช้โปรแกรม “คนละครึ่ง” ซึ่งได้ผลอย่างมากผ่านระบบเป๋าตัง แต่ดึงดันพัฒนา “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ซึ่งก็ใช้ไม่ได้ ต่างกับสมัยลุงตู่ที่ใช้ง่าย สบายทั้งผู้ใช้ และ ผู้ประกอบการ
ประชาชนเริ่มตาสว่าง ที่อ้างว่า “เศรษฐกิจไม่ดี เพราะรัฐบาลลุงตู่” นั้นไม่จริง … บอกว่าฝั่งลุงตู่ ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องเลือก เพื่อไทย หรือ ประชาชน แต่นี่ขนาดเอาพรรคอาวุโส มีบุคลากรประสบการณ์สูงมากมาย ก็ยังแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ แล้วถ้าเป็นพรรคประชาชน ที่ เก่งโม้-เก่งด่า-เก่งพาทัวร์ลง นำโดยเด็กๆไร้ประสบการณ์ จะแก้วิกฤตเศรษฐกิจไทยได้จริงหรือ ?
และ พรรคส้ม ยังมีวิธีคิดหลายอย่างที่แสดงว่า ไม่ใช่พรรคของประชาชนอย่างแท้จริง พรรคส้ม ยัง “ข่มทหาร” ไม่หยุด ตั้งแต่เริ่มหาเสียงด้อยค่าทหาร ประโยคหากินคะแนนเสียงโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคส้มยุคนั้น “ทหาร…มีไว้ทำไม ?” หรือ “พวกคุณจะไปรบกับใคร สมมุติมีคนมารุกราน ผมก็ไม่เชื่อว่าคุณจะรบชนะด้วย” จนบัดนี้ ประชาชนตาสว่าง พรรคที่แค่ เก่งโม้-เก่งด่า-เก่งพาทัวร์ลง แต่ไร้สามารถ ไร้ประสบการณ์ หากมานำประเทศจริง ไม่รู่ว่าป่านนี้ การรบจะยืดเยื้อแค่ไหน ? ไทยจะเสียหายเท่าไร ? ประชาชนไทยจะเดือดร้อนเท่าไร ?
เรื่องจริงคือ ประเทศข้างบ้านนี้แหละ ไว้ใจไม่ได้ รุกเข้ามาขุดคูเลท ล้ำพื้นที่สันปันน้ำมาแดนไทย เมื่อเริ่มปะทะ ยิงจรวดมั่วซั่ว ไร้กติกา ยิงใส่เป้าหมายพลเรือน จนคนไทยต้องสูญเสียชีวิต และ ทรัพย์สินไปมากมาย
และ กองทัพไทยก็ได้แสดงแสนยานุภาพ ใช้เครื่องบินรบ ทั้ง F-16 และ กริฟฟิน ยิงเข้าเป้าหมายทางทหาร เอาชนะได้อย่างราบคาบ ทวงคืนผืนแผ่นดินไทยได้หลายพื้นที่ตลอดแนวชายแดน และทำให้การปะทะจบเร็ว เพราะ กัมพูชาอ่อนแรงเร็ว
ทหารมีไว้ทำไม ?… แม้ไม่ได้รบทุกวัน แต่ต้องซ้อม ต้องเตรียมความพร้อม พรรคส้มเคยบอกว่า ถึงเวลาก็เกณฑ์มาซ้อม 2 เดือนก็รบได้แล้ว แล้ว สส.ส้ม จะพร้อมทำอย่างนั้นไหม ? ข่มทหารได้ บูลี่ทหารได้ แต่ไม่พร้อมเสียสละได้อย่างทหารไทยเลย
เมื่อแม่ทัพภาค 2 รับเชิญไปกล่าวปราศรัย ให้กำลังใจ ให้ความรู้เยาวชนในโรงเรียน และ มหาวิทยาลัยหลายแห่ง แกนนำพรรคส้ม อย่าง ช่อพรรณิการณ์กลับบอกว่า “มีบางคนไม่อยากให้สงครามจบ…” แล้วเว้นระยะหนึ่งจึงบอกว่า “เพราะในช่วงสงคราม มีบางคนเป็นฮีไร่..ใช่ไหม ? นี่เป็นคำถาม” และ ล่าสุด สส.ส้ม ยังพยายามยกประเด็นว่า สื่ออย่าง “กองทัพบก ทันกระแส” ว่าสื่อสารมีโทนสร้างความเกลียดชัง ทั้งที่ ทหารก็ตั้งใจให้ความจริงกับสื่อเอกชน อย่างรวดเร็ว กระชับ ฉับไว และ เน้นแต่ความจริง ซึ่งอาจจะบาดใจ เพราะ โต้ตอบเฟคนิวส์กัมพูชา ได้ชะงัด และ สื่อให้ประชาชนไทยที่อารมณ์ร้อน รู้ทันว่า ตอนนี้ กัมพูชาพยายามสื่อสาร ยั่วยุ หวังให้ไทยลงมือก่อน จะได้เร่ไปฟ้องต่างชาติตามแผน
“ทหารมีไว้ทำไม ?” ชาวไทยเห็นกระจ่างแล้ว แต่พรรคส้มยังมุ่งด้อยค่าทหารต่อไป ไม่ต่างกับ นายกฯอุ๊งอิ๊ง ที่บอกว่า “พวกแม่ทัพภาคสอง เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย” หรือ “เพราะตอนนี้ทางนั้นเขาอยากจะดูเท่ เขาก็จะพูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ” ซึ่งพรรคส้มพึงรู้ว่า คนไทยตาสว่าง เห็นทหารไทย รบอริราชศัตรูอย่างกล้าหาญ และเสียสละ ใครที่มองทหารเป็นคนฝั่งตรงข้าม คนนั้นๆ ก็จะอยู่ตรงข้ามกับคนไทยด้วย
แล้วเลือกตั้งครั้งหน้า คนไทยจะหันไปพึ่งใคร ?? มอง “พรรคการเมืองที่มีเจ้าของพรรค” ประชาชนก็เข็ดแล้ว จากพรรคของตระกูลชินวัตร ถอนทุนที หนี้สินประเทศชาติพุ่งหลายแสนล้านบาท
มองพรรคสถาบัน พรรคประชาชน ก็ได้แสดงธาตุแท้ให้เห็น ความไร้สามารถ ไร้ประสบการณ์ ขาดวิสัยทัศน์ ถ้าดูเฉพาะ ความอ่อนเกมส์ด้านความมั่นคง ความหยิ่งยโส แทนที่จะคิดทำงาน “ร่วมกัน” กับข้าราชการ กองทัพ ด้วยความให้เกียรติ ร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว กลับคิดแต่จะข่ม ด้อยค่า…ถ้าพรรคประชาชนได้คุมอำนาจรัฐจริง ลดงบทหาร เปลี่ยนรถถังเป็นรถไถ หรือ คิดไกลถึงเป็นผ้าอนามัยแจกเด็กๆ คิดไร้เดียงสาว่า ไม่มีกองทัพก็ยังได้ ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะยังปกป้องแผ่นดินไทยได้เพียงใด
และพรรคส้มยังด้อยค่าศาลไทย แม้ศาลจะช่วยให้ความขัดแย้งยุติ “พ่อทักษิณหนีคุกต้องคืนกลับเรือนจำ ลูกอุ๊งอิ๊งพวกเดียวกับอังเคิลฮุนเซนต้องออกไป” พรรคส้มกลับบอกว่า รัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้เกิดการดุลยพินิจตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ แต่ก็บอกไม่ได้ว่า ตัดสินบกพร่องอย่างไรเลย ? คนไทยจึงสิ้นหวังเข้าขั้นวิกฤตเมื่อพรรคนายทุน และ พรรคที่อ้างว่าเป็นสถาบัน ก็พึ่งไม่ได้ทั้ง 2 ทาง
แต่การเปลี่ยนแปลงในพรรคประชาธิปัตย์ กำลังช่วยจุดประกายความหวังให้คนไทย !!
ในประวัติศาสตร์ไทยที่เราเห็น ประชาธิปัตย์ช่วยแก้วิกฤตชาติมาทุกครั้ง
ในวิกฤตต้มยำกุ้ง รัฐบาลบิ๊กจิ๋ว ที่ทักษิณเป็นรองนายกฯ ซึ่งเสนาะ เทียนทองเปิดโปงว่า “คนนี้ รวยแล้วโกงชาติ เผาบ้านเผาเมือง เอาประกัน” ทำประเทศไทยเกือบล้มละลาย รัฐบาลนายกฯชวนก็แก้วิกฤตได้สำเร็จ ด้วยทีมงานที่เข้มแข็ง ทั้งคุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ และ ดร. ศุภชัย พานิชภักดิ์ (ซึ่งต่อมา เป็นเลขาธิการ WTO) แต่ทักษิณกลับอ้างว่า เป็นคนพาไทยหลุดพ้น IMF ทั้งที่ทักษิณนั่นแหละ ที่พาประเทศลงเหว ต้องทำ LOI เริ่มก็เงิน IMF
ในวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เศรษฐกิจทั่วโลกทรุดหนัก รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ ก็จัดทีมอย่าง คุณ กรณ์ จาติกวณิช ฟื้นตัวไทยได้เร็ว 1 ใน 5 ของโลก จนคุณกรณ์ได้รับเลือกเป็น Ministry of Finance of the year
ปัญหาประชาธิปัตย์แตกไปชั่วคราว มีกลุ่มแยกจากพรรคไปตั้ง กปปส. ไล่รัฐบาลชินวัตรโกงชาติ บางส่วนก็อยู่รักษาประชาธิปไตย ก็แป็นเพราะ แนวคิดแก้ปัญหาไม่เท่าเทียมกัน ในสภาวะไม่ปรกติ บัดนี้ บ้านเมืองเริ่มสูงขึ้น อำนาจระบอบทักษิณไม่สามารถครอบงำบ้านเมืองได้ต่อไป ประชาชนเริ่มตาสว่าง พรรคส้มแสดงให้เห็นธาตุแท้ ในยามวิกฤตเช่นนี้ ประชาชนกำลังหวังต้องการพรรคดีๆ มีมืออาชีพเก่งๆ และ ดีๆ อย่างประชาธิปัตย์ Full Team ได้คัมแบ็กกลับคืนมานำประเทศไทยอีกครั้งต่อไป
ไทยทน