หลังจากเบนเข็มสู่วงการ Bollywood ด้วยเส้นทางงานแสดงและดนตรี นางเอกลิเกคนสวย ‘แอน’ จริยา มิตรชัย ก็ห่างหายไปจากวงการบันเทิงไทย แต่ขณะที่กำลังไปได้สวย เส้นทาง Bollywood มีเหตุให้สะดุด
วันนี้สาว ‘แอน’ เปิดหมดใจกับชีวิตที่พลิกผัน
◊ เป็นครอบครัวลิเกมาตั้งแต่เด็ก
แอน – “เราเป็นครอบครัวลิเก เราเล่นลิเกกันตั้งแต่ห้าขวบ แอนถือว่าเราประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็กตอนที่อายุ 20 ยังเขียนโน้ตไว้เลยว่า วันนี้มีทุกอย่างแล้ว มีบ้าน ซื้อรถ มีเงินฝาก เราทำแบบนี้ทุกวันเรามีความสุข สุขที่เราได้อยู่บนรถ กิน-นอนบนรถ มันก็เลยทำให้แอนและพี่เอทำงานมาได้ แล้วเรา 2 คนไม่ใช่เลี้ยงแค่ตัวเอง แต่เราเลี้ยงทั้งครอบครัว เราหาเงินกลับมาเลี้ยงเด็กกำพร้าและเด็กยากจนอีก 3,000 คน หลายคนยังเข้าใจผิด จากนางเอกลิเกแอนก็ได้มาบริหารคณะลิเกอย่างเต็มตัวต่อจากคุณพ่อ เป็นผู้กำกับฯและเขียนบท”
◊ อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราก้าวออกจากวงลิเก มาเป็นนักร้อง?
แอน – “เพราะมันมีครบ เราเริ่มอิ่มตัว แอนอยากที่จะเริ่มไปตามฝันของตัวเองให้เร็วหน่อย อยากที่จะกระเถิบเลเวลค้นหาจุดสุดขีดของตัวเองว่าความสามารถของเราไปทำอะไรได้อีกบ้าง ในเรื่องของลิเกมันมาสุดทางแล้ว แอนไม่ได้ไปแข่งกับอินเตอร์แต่แอนเอาวัฒนธรรมไปด้วย แอนเต้นอินเดียแอนก็จะรำไทย ร้องอินเดียแอนก็จะร้องไทยไปด้วย”
◊ ไป Bollywood พร้อมกับคาดหวังของหลายคน?
แอน – “แอนจากบ้านเกิด ไปจากเวทีที่ทุกอย่างมันมั่นคงอยู่แล้ว แต่วันหนึ่งเปลี่ยนสถานที่อยู่ มันเหมือนคนเปลี่ยนชีวิตใหม่ แอนรู้ว่าหลายคนคาดหวัง ไม่อยากให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจคำว่าโกอินเตอร์ ต้องไปเหมือนเขา พอไปอยู่จุดนั้นจริงๆ วัฒนธรรมมันสูงมาก วงการเอ็นเตอร์เทนของอินเดียมันไม่ใช่แค่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ แต่มันเป็นจิตวิญญาณ เราจะต้องโชว์ความเป็นตัวเองให้มากที่สุด เราใส่ส่าหรีได้ แต่เราก็อย่าลืมพกชุดลิเก มงกุฎของความเป็นวัฒนธรรมของเราที่มันสวยงามมาก แอนไปตอกย้ำให้เขารักประเทศไทยมากขึ้น”
◊ นอกจากคนเชียร์แล้ว ก็ยังมีคนปรามาสว่าจะไปได้แค่ไหน มันยิ่งกดดันไหม?
แอน – “มาก แน่นอนว่ามีคนกลุ่มนี้ ที่พูดว่า มันทิ้งลิเกไปมันจะไปสักกี่น้ำและอีกหลายคนก็ซัพพอร์ต สิ่งที่แอนเสียใจมาก คือเราเล่นลิเกทุกวัน อยู่กับครอบครัวทุกวัน พอไปอยู่อินเดีย แอนร้องไห้ทุกวัน ไปตอนแรกเราก็เป็นทุกข์รักด้วยทุกข์ด้วย อยากทำฝันก็อยากทำ เคยคิดถามตัวเองว่า ‘ฉันมาทำอะไรตรงนี้หว่า เล่นลิเกก็ดีอยู่แล้ว’ แต่ก็สู้ อยากที่จะหาเวอร์ชั่นเราในแบบใหม่ ตอนนั้นหลายคนไม่เข้าใจ จะถูกต่อว่า ทิ้งลิเกแล้ว แอนไม่ได้ทิ้งลิเกนะ แอนทำให้ครอบครัวทั้งสองซีซั่นว่าลิเกไปอยู่ในจุดที่ไม่มีใครไปถึงตรงนั้นแล้ว”
◊ ไป Bollywood ภาพเปลี่ยนเซ็กซี่ โดนติเยอะ?
แอน – “ตอนนั้นโดนเยอะ เพราะว่ามันไปบิกินีเลย มันไปอยู่ภายใต้ของ T-Series บริษัทค่ายเพลงและสตูดิโอภาพยนตร์ของอินเดียที่ใหญ่อันดับหนึ่งของโลก แต่เราก็ไม่ได้รู้เพราะบริษัทวางให้เราไว้หมด มันเหมือนเป็นการจุดพลุ แรกๆ กังวลกลัว คิดว่ายังไงก็ต้องโดนแน่และคนที่กลัวที่สุดคือคุณพ่อ เรื่องแฟนลิเก แต่แอนคิดว่าถ้าเกิดทำออกมาสวยไม่น่าจะมีปัญหาก็เลยลองแนวใหม่ดู กล้าได้กล้าเสียไหนๆ เราก็ไปแล้ว สุดท้ายมันออกมาสวย ไม่ได้ออกมาเป็นแง่ลบ เพลงติดชาร์ตที่ Bollywood ทำให้โพสิชั่นของแอนเกิดขึ้นโดยรวดเร็ว”
◊ กำลังไปได้สวยทำไมไม่เล่นหนังต่อ?
แอน – “จริงๆ มันมีภาพยนตร์ต่อ แต่แอนไม่ให้ภาพไปทางนั้นเพราะว่าเราเปิดด้วยบิกินีแล้ว คือมันมีฉากที่ต้องเปลือยด้านบน ก็กลัวว่าเดี๋ยวเราจะรับไม่ไหว มันแก้ไขอะไรไม่ได้ มันจะอยู่ตลอดชีวิต เดี๋ยวคนก็จะมองว่าผู้หญิงไทยเล่นแบบนี้อีกแล้ว ก็ไม่เป็นไรภาพยนตร์ไม่ต้องเล่นถี่นักก็ได้ ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น ในอินเดียที่สำคัญคือทุกคนต้องมีเพลงที่มีเอ็มวีออกตลอด ตัวนี้จะออกทั้งวันทั้งคืน นั่นคือการตลาดของอินเดีย อินเดียใครดังหนึ่งเพลงแล้วก็จะดังตลอดไป เราอยากทำในส่วนของเพลงมากกว่า เลยหันหัวเรือว่าไปอยู่ยูนิเวอร์แซลเพื่อที่จะทำอัลบั้มอินดี้ บางคนอาจจะเสียดายแต่แอนขอเลือกแบบนี้ดีกว่าแอนเลือกไปแล้วมีเกียรติอาจจะช้าหน่อยแต่ขอให้ภาพจำเราไม่ได้ถูกบิดเบือนไปทางอื่น”
◊ ไปได้สวยแต่ร่างกายไม่พร้อมที่จะเดินไปกับเราด้วย?
แอน – “แอนไปตั้งแต่ปี 2010 อยู่จนถึงปี 2016 กลับมาช่วงโควิด ตอนนั้นร่างกายไม่โอเค ถ่ายเสร็จไปแล้ว 90% ไม่ไหวแล้ว มันยืนไม่ได้เลย งานทุกอย่างไปได้สวยแต่ร่างกายไม่ไหวแล้ว ทำให้แอนจิตใจลงไปแบบดิ่งเลย เลยรู้สึกแย่ทำไมต้องเป็นตอนนี้ ไม่ยอมรับ จนคุณหมอสั่งฟ้าผ่าว่าไม่ได้นะถ้าไม่หยุดจะต้องผ่ากล่องเสียงแล้วเสียงจะกลับมาได้หรือเปล่าไม่รู้ มันอาจจะต้องหยุดไปอีก 3-4 ปี เพราะว่ามันมีปัญหากับตัวสเตียรอยด์มานาน แอนก็เลยต้องหยุดคุณหมอเซ็นให้หยุดหนึ่งปี”
“มันยากที่จะทำใจเรารู้สึกว่าเราเสียโอกาสในชีวิตไป ก็เลยเศร้า ดาวน์ไปพร้อมกับอาการป่วย หนักไปกว่าเดิมอีก พออาการไม่ดีก็ต้องให้ยา น้ำหนักพุ่งไปถึง 80 กิโลฯ แอนเก็บตัวไม่ได้อยู่ไทย บินไปอยู่ต่างประเทศกับแฟน ตอนนั้นก็มีปัญหากับแฟน ทุกอย่างมันเป็นช่วงนาทีชีวิต ไม่ได้กล้าบอกว่าเรายุติความสัมพันธ์ เพราะคุณแม่ก็เชียร์ ทุกคนก็เชียร์ คุยกันว่าอีก 4 ปีเราจะแต่ง”
“จุดที่เปลี่ยนไปเลยคือเราต้องยอมรับว่าเราทำงานต่อไม่ได้ ‘เลยคิดไปเลยว่าตายไปแล้ว’ นี่คือจุดพลิกที่สุดที่แอนเริ่มไม่ไหว เลยบอกกล่าวครูบาอาจารย์ที่เรานับถือว่า ถ้าพ่อจะให้หนูยุติแค่นี้ หนูก็ขอยุติงานเบื้องหน้าแค่นี้ คงต้องยุติลงไปทำเบื้องหลัง พอไปจุดธูปบอกว่าจะเลิกทำแอนมีอาการดีขึ้น”
◊ อีกเรื่องที่หลายคนตั้งคำถามลูกชาย?
แอน – “ไปทำมา(หัวเราะ) มันช้ามาแล้ว คนที่จะมีลูกก็ควรจะต้องมีในช่วงอายุที่ไม่ต้องช้ามาก แต่ว่าแอนไปอินเดีย งานเพิ่งเริ่มไม่มีสิทธิ์ที่จะไปท้อง แฟนที่คบอยู่ตอนนั้นเขาก็ให้เรามีลูกเลย ซึ่งเราคุยกันแล้วว่าไม่ได้ แอนได้น้องเบสมาในช่วงชีวิตที่เสียอีกชีวิตนึงไป เราได้ชีวิตใหม่มา แอนผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบากมากับลูกคนนี้ แล้วช่วงหนึ่งก็เกือบเสียเขาไป เพราะว่าแรกๆ แอนไปอยู่อินเดีย พอกลับมาเขาเริ่มมองเราเป็นคนอื่น เขาอยู่กับพี่ๆ ที่ตามใจ แล้วเขาเป็นไฮเปอร์เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง เขามีความอัจฉริยะอย่างหนึ่งแต่เขาก็สูญเสียบางอย่างไป ซึ่งแอนกลับมาเราก็รู้สึกว่าเราทิ้งเขาไม่ได้ เราเองก็เป็นอย่างนี้มันก็เลยเป็นช่วงวิกฤตที่เป็นโอกาส ให้เราใช้ช่วงชีวิตตรงนี้อยู่กับลูก น้องเบสสอนให้แอนรู้เรื่องของสภาวะอารมณ์ มันไม่มีอะไรได้ดังใจโดยเฉพาะเมื่อเรามามีลูก เขาทำทุกอย่างที่เราห้าม”
◊ แน่นอนหลายคนสงสัยยิ่งโตยิ่งเหมือนแอน จริงๆ เป็นลูกบุญธรรมหรือลูกแท้ๆ?
แอน – “คุณพ่อบอกเป็นลูกแอนเลย ไม่เชื่อเลยทุกกรณี เพราะว่าช่วงนั้นแอนไปอยู่อินเดียกลับมาก็หอบน้องมา อันนั้นก็แล้วแต่เลย แอนอยากให้ทุกคนคิดได้ตามที่เขาอยากคิด แต่สำหรับแอนคงไม่ได้รักใครไปได้มากกว่านี้แล้ว เพราะว่านอกเหนือจากตัวเองก็จะมีความท้าทายรูปแบบใหม่ชื่อ เบส อารยะ มาเกิด”
◊ ตอนนี้มีหนุ่มๆ เข้ามาบ้างไหม?
แอน – “โสดเป็นพักๆ มีคนเข้ามาตลอดแต่ว่าพอจะออกจากเซฟโซนก็รู้สึกหวงความเป็นส่วนตัว เพราะเราอยู่ตรงนี้นานเราจะเริ่มชินกับการอยู่คนเดียวไม่รู้ว่าตัวเองปิดกั้นไหม ถามว่ามีคนคุยไหมก็มีนะ เขารอถึงขนาดที่ว่าถ้าเกิดอยากแต่งงานก็บอก เป็นหนุ่มต่างชาติค่ะ เขาก็ชัดเจนแต่เราก็ยังไม่ได้เปิดใจ 100% เพียงแต่ว่าก็เรียนรู้เพราะว่าชีวิตตัวเองก็ยังไม่แน่นอน มันผันผวนบ่อย เป็นเพื่อนกันได้ในระดับนึงก็โอเค ถ้าไม่ต้องมีลูกอีกก็โอเค แต่ถ้าต้องมีลูกก็ไม่เอา ถ้าอยู่กันได้ในแบบเพื่อนกันก็ได้ค่ะ”
อนงค์ จันทร