เศรษฐกิจต้องแก้รัฐธรรมนูญก็ต้องแก้
บทพิสูจน์รัฐบาลอนุทิน
ต้องจับตาแบบนาทีต่อนาที
สำหรับรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 32 ที่มีเวลาตาม MOA เพียง 4 เดือน ทว่า มากมายด้วยประเด็นต้องขับเคลื่อน ภายใต้ความหวังไม่มากก็น้อยจากประชาชนเมื่อเห็นรายนามว่าที่รัฐมนตรีชุดใหม่ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ที่ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ นักธุรกิจหญิงระดับแนวหน้า ตกปากรับคำ พร้อมนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ขณะที่คำวินิจฉัยเพิ่มเติมของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องการทำ ‘ประชามติ 3 ครั้ง’ โดยไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง ส่งผลให้เกิดการตั้งคำถามหลายประการจากนักวิชาการ
ห่วง ‘ประชามติ 3 ครั้ง’
ทำแก้รัฐธรรมนูญล่าช้า
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กันยายนที่ผ่านมา สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยเอกสารคำวินิจฉัยคำร้องที่ประธานรัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) โดยผลการพิจารณาในประเด็นสำคัญระบุว่า รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบ โดยต้องทำประชามติ ทั้งหมด 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร และครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่า เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
หรือไม่ โดยครั้งที่ 1 และ 2 สามารถทำพร้อมกันได้
ประเด็นนี้ รศ.ดร.วรรณภา ติระสังขะ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า หากน้อมรับและพิจารณาคำวินิจฉัยในประเด็นที่กำหนดให้มีการทำประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 จะเห็นถึงการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงของประชาชนอย่างมาก ตั้งแต่การต้องขอมติประชาชนว่าเห็นควรจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และต้องขอมติประชาชนต่อวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญ
อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพิ่มเติมต่อไปว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ซึ่งดูคล้ายกับว่าเหตุผลนั้นมีความย้อนแย้งกันอยู่ต่อนัยในการให้ความสำคัญกับเสียงประชาชน และจะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นผู้วางและกำหนดเงื่อนไขในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เองหรือไม่
หากมองย้อนกลับไปถึงคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้แล้ว เมื่อปี 2564 ในคำวินิจฉัยที่ 4/2564 จะพบข้อแตกต่างว่า ครั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการเพิ่มเติมเนื้อหากำหนดให้มีการทำประชามติทั้งหมด 3 ครั้ง โดยในครั้งที่ 2 ที่ระบุว่า ‘ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร’ ซึ่งไม่ปรากฏรายละเอียดดังกล่าวอยู่ในคำวินิจฉัยที่ 4/2564
ดังนั้น แม้ว่าคำวินิจฉัยล่าสุดจะระบุให้การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้ ทว่าการกำหนดเงื่อนไขให้มีการทำประชามติถึง 3 ครั้งนี้ อาจทำให้เกิดข้อจำกัดและการทอดเวลาของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกไป นั่นเพราะตามหลักการแล้ว การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ส่งมอบอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญจากประชาชนไปสู่รัฐสภาอยู่แล้ว เพื่อกำหนดกรอบกติกา กระบวนการ ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นอกจากนี้ยังมีคำถามอีกว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุผลใดในการวินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ซึ่งรายละเอียดตรงนี้คงต้องรออ่านคำวินิจฉัยฉบับเต็มประกอบ
จี้เร่งเปิดประชุมสภา พิจารณาหมวด 15 วาระ 1
‘ไม่ต้องรอแถลงนโยบาย’
รศ.ดร.วรรณภา คอมเมนต์ต่อไปว่า เพื่อให้เกิดการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ พรรคการเมือง สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงรัฐบาล จำเป็นต้องเร่งผลักดันให้มีการเปิดประชุมสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ในวาระที่ 1 ภายในเดือนกันยายนโดยไม่ต้องรอรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อให้สอดคล้องกับการหาเสียง หรือการให้คำมั่นกับประชาชนตั้งแต่รณรงค์การเลือกตั้ง หรือการตั้งรัฐบาล
นอกจากนี้ กระบวนการทำงานรัฐสภายังจำเป็นต้องควบคู่กับการขับเคลื่อนนอกสภาด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และให้เกิดเสียงของการผลักดัน ขับเคลื่อนด้วยเช่นเดียวกันภายใต้กรอบเวลาที่จำกัด
“สิ่งสำคัญของการออกเสียงประชามติ รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผลที่ได้คือการได้มีพื้นที่สาธารณะของการถกเถียงกันในประเด็นโครงสร้างของสถาบันการเมือง ประเด็นผลประโยชน์สาธารณะ สิทธิเสรีภาพของประชาชน ดังนั้นกระบวนการก่อนการลงประชามติ จึงมีความสำคัญที่ยิ่งหย่อนไม่น้อยกว่าการได้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะจะเป็นโอกาสในการสร้างให้ผู้คนได้ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของความเป็นกฎหมายสูงสุด ตลอดจนข้อผิดพลาด ปัญหาและบทเรียนที่เกิดขึ้นของบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่เกิดขึ้น โดยต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนตลอดกระบวนการ การสร้างดุลยภาพทางการเมืองของสถาบันทางการเมือง เพื่อให้เกิดฉันทามติทุกภาคส่วนในการออกแบบประเทศใหม่ร่วมกัน” รศ.ดร.วรรณภากล่าว
ทีมเศรษฐกิจหน้าตาสวย รัฐมนตรี ‘คนนอก’
ปัจจัยบวกสร้างความเชื่อมั่น
ถัดมาคือ ประเด็นปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งหลายภาคส่วนเห็นด้วยกับการเลือกรัฐมนตรีเศรษฐกิจคนนอก เพราะจะเป็นปัจจัยบวกเชิงสัญลักษณ์ต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน แต่จุดชี้ขาดคือ ‘ความเป็นอิสระ’ ในการทำงาน
ผศ.ดร.ธันยพร สุนทรธรรม อาจารย์คณะวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้อำนวยการสถาบันอาณาบริเวณศึกษา (TIARA) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการประยุกต์ใช้เทคนิคการมองอนาคต (Foresight and Futures Studies) มองว่าสิ่งที่ประชาชนเฝ้าติดตามมากที่สุดและเป็นบทพิสูจน์ของรัฐบาลอนุทิน คือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งการดึงบุคคลภายนอกที่มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์ในการบริหารเศรษฐกิจมาร่วมรัฐบาลในคณะรัฐมนตรี ถือเป็นปัจจัยบวกเชิงสัญลักษณ์ต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ ตลอดจนภาคประชาชนเป็นอย่างมาก
“ส่วนตัวมองว่าฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่มีหน้าตาสวย แต่จะสร้างผลงานได้มากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความเป็นอิสระ และการเปิดโอกาสให้เขาเหล่านั้นสามารถทำงานได้ตามความคิดของเขา
สิ่งที่รัฐบาลควรเร่งทำคือการประกาศแผนงานระยะเร่งด่วน (Quick wins) ให้ชัดเจนว่าในระยะ 4 เดือนนี้ ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลจะสามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง โดยต้องเป็น Quick wins ที่เกิดจากการวางแผนร่วมกันแบบสอดประสานกันของกระทรวงที่รับผิดชอบ
นโยบายเศรษฐกิจ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน” ผศ.ดร.ธันยพรกล่าว
แนะประกาศ Quick wins เปิดเช็กลิสต์ เดือนต่อเดือน
เริ่มต้นที่ความพร้อม ‘สอดประสานข้ามกระทรวง’
จากนั้น ผศ.ดร.ธันยพรยังไล่เช็กลิสต์รายเดือน ว่าสิ่งที่คาดหวังในเดือนแรก คือการประกาศความพร้อมของคณะทำงานในแต่ละกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ว่าจะสามารถสอดประสานการทำงานร่วมกันแบบข้ามกระทรวงได้ โดยไม่แบ่งแยกต่างฝ่ายต่างทำกันไปแบบเดี่ยวๆ พร้อมกับการเร่งประกาศนโยบายลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน รวมไปถึงการฉายภาพให้เห็นถึงมาตรการที่ชัดเจนในการรับมือกับเรื่องภาษีทรัมป์
ส่วนเดือนที่สอง รัฐบาลควรให้ความสำคัญไปที่การช่วยเหลือ บรรเทาแรงกดดันให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สามารถเดินต่อไปได้ หรือจะเป็นการเร่งออกมาตรการอำนวยความสะดวกให้โครงการลงทุนใหม่ๆ เช่น การตั้งโรงงาน การตั้งนิคมอุตสาหกรรม การนำเข้าเทคโนโลยีเครื่องจักร
เดือนที่สาม ควรมุ่งเน้นความสำคัญไปที่การสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติ โดยจัดทำกิจกรรมการเชิญชวนการลงทุน (Investment Roadshow) ดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ Next Gen เช่น อุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูล (Data Center)
“ระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือน คงไม่สามารถทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจที่จะลงทุนในทันที แต่อย่างน้อยก็สร้างแรงบันดาลใจเริ่มต้นให้เกิดการหันมามองโอกาสและความเป็นไปได้ของประเทศไทยมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกรัฐมนตรีคนนอกอาจต้องใช้เวลาปรับตัวมากพอสมควร เนื่องจากบางท่านคุ้นชินกับวิธีการทำงานแบบเอกชน บางท่านคุ้นเคยกับรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีความแตกต่างไปจากระบบราชการ” ผศ.ดร.ธันยพรวิเคราะห์
ขีดความสามารถแข่งขันไทยร่วง5อันดับรั้งท้ายภูมิภาค
‘รัฐบาลต้องสร้างความชัดเจนทางการเมือง’
ด้าน ศ.ดร.ภวิดา ปานะนนท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศโลจิสติกส์และการขนส่ง คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า หนึ่งในตัวชี้วัดความท้าทายทางเศรษฐกิจของไทยในวันนี้ คือผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยสถาบัน International Institute for Management Development (IMD) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2025 ที่รายงานว่า ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 30 จากอันดับที่ 25 ในปีที่แล้ว และเป็นประเทศที่รั้งอันดับท้ายๆ ในภูมิภาค โดยอยู่ในอันดับที่ 11 จากทั้งหมด 14 ประเทศ สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า แม้ประเทศไทยเต็มไปด้วยปัญหาระยะสั้นมากมาย แต่สิ่งที่เป็นตัวชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจไทยหลายอย่างมาจากการสะสมกันของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่ได้รับการแก้ไข
ศ.ดร.ภวิดากล่าวว่า ในระยะสั้นของรัฐบาลที่มีระยะเวลาไม่มากนัก สิ่งที่ควรเร่งทำคือการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ซึ่งความไม่เชื่อมั่นเกี่ยวข้องกับการมองไม่เห็นถึงความแน่นอนของฉากทัศน์การเมืองไทยว่าจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ เช่น จะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ มีการเลือกตั้งเมื่อใด ดังนั้นรัฐบาลต้องสร้างความชัดเจนทางการเมืองด้วย
“การเร่งสร้างความชัดเจนเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลใหม่ทำได้ จริงอยู่ว่ามันอาจจะไม่ใช่นโยบายด้านเศรษฐกิจโดยตรง แต่การมีความชัดเจนในเส้นทางทางการเมือง อย่างน้อยที่สุดก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและคนในประเทศได้ว่าการขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลครั้งนี้คือการลุกขึ้นมาแก้ปัญหา พูดจริงทำจริงตามกรอบระยะเวลาที่ได้ให้สัญญาไว้แล้วคืนเสียงให้กับประชาชนเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง” ศ.ดร.ภวิดาย้ำ ก่อนทิ้งท้ายว่า
การที่รัฐบาลจะมีนโยบายเศรษฐกิจที่ดีได้ จะต้องทำหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีกลไกนอกระบอบประชาธิปไตยเข้ามาทำให้เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน และหยุดชะงักการพัฒนาเศรษฐกิจ