ผู้เขียน | อธิษฐาน จันทร์กลม |
---|
ถึงเวลาเปลี่ยนแอตติจูด เลิกอิกนอร์
เพราะความป่วยไข้ ไม่ใช่เรื่องน่าบูลลี่
เสียงจาก ‘นักรับฟัง พลังพิเศษ’
ฐิติพร ประวัติศรีชัย
เป็นเรื่องที่มนุษย์ต้องฝึกใช้หัวใจสัมผัส หาใช่สายตาไบแอสเป็นตัวตัดสิน
‘ปัญหาสุขภาพจิต’ กลายเป็นทอล์กออฟโซเชียล เข้มข้นบนหน้าฟีดตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เมื่อการบูลลี่เพศสภาพ หรือแม้แต่ความป่วยไข้ทางใจ กลายเป็นเรื่องล้อเล่นขำๆ ถูกหยิบมาใช้กดเพื่อลดทอนคุณค่าผู้อื่นให้ต่ำลง แถมยังผลิตซ้ำจากบุคคลสาธารณะที่ไม่รับผิดชอบผลลัพธ์ของคำพูด
ในขณะที่ ‘4.3 ล้าน’ ของแต่ละปี คือความเป็นจริงที่ประชาชนในชาติมีความต้องการเข้าถึงมือหมอเพื่อปรึกษาปัญหาความทุกข์ในหัวที่วนเวียนแก้ไม่ตก ก่อนจะเลือกลงเอยจบชีวิตเพราะรู้สึก อยู่ไปก็ไร้ค่า…
ท่ามกลางยุคสมัยที่คนรอบตัวตัดสินกันเก่งกว่าเปิดหูรับฟัง
บนสภาวะที่ผู้คนเข้าอกเข้าใจกันน้อยลงทุกวัน
ปัจจุบันสังคมไทยกำลังเผชิญปัญหาสุขภาพจิตทุกช่วงวัย ในระดับที่แค่เพียงอีกนิดจะเข้าขั้น ‘วิกฤต’
แม้ ครม.มีมติ (เมื่อ 6 พ.ค.2568) กำหนดให้พฤษภาคมของทุกปี เป็น ‘เดือนแห่งสุขภาพใจ’ (Mind Month) มีความพยายามปลุกปั้นความร่วมมือครั้งใหญ่ ตั้งแต่การช่วยเหลือจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษา รวมถึงส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ๆ อย่าง Sati App แต่ก็ต้องยอมรับว่าสัดส่วนบุคลากรไม่บาลานซ์เพียงพอ เมื่อหันไปเทียบกับที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุไว้
ยังไม่ต้องพูดถึงมายด์เซตของคนในสังคม ที่เราคงเห็นชัดแล้วว่ายังคงต้องทำงานอีกมาก
ในขณะที่ ‘ผู้พิการ’ ที่มากถึงราว 10% ของประชากรไทย อาจกลายเป็นอีกกลุ่มเสี่ยงที่เผชิญปัญหาสุขภาพใจ จากการว่างงาน จากร่างกายที่ไม่สมบูรณ์เหมือนคนทั่วไป
นับเป็นการร่วมมือครั้งใหญ่ ครั้งแรกของวงการสาธารณสุขไทย ล่าสุด กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข คิกออฟโครงการ ‘นักรับฟัง พลังพิเศษ’ (Gifted Listeners) กลางลานอีเดน ห้างใหญ่ใจกลางเมือง อย่างเซ็นทรัลเวิลด์ เนื่องในวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก (10 ก.ย.)
เป็นอีกหนึ่งพลัง นวัตกรรมทางสังคม ที่จะช่วยหนุนเสริมเติมช่องว่างบุคลากรในระบบ และเขยิบช่องโหว่ให้คนไทย ได้รับการฮีลใจง่ายขึ้นอีกขั้น ผ่านการสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ผู้พิการ ที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพทางประสาทสัมผัส
นับเป็นครั้งแรกของการเชื่อมความร่วมมือทั้งรัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อเปลี่ยนเมืองไทยให้น่าอยู่ เป็นสังคมแห่งการรับฟัง มีสุขภาพจิตที่ดี โดยไม่หลงลืมใครไว้เบื้องหลัง
ด้วยพลังวิเศษจากผู้พิการ ที่ได้รับการเทรนให้เป็นนักปฐมพยาบาลทางใจ ซึ่งจะเข้ามาช่วยรับสาย พูดคุยบำบัดความหนักใจให้คลายลง ด้วยทักษะการรับฟังอย่างลึกซึ้ง หลังผ่านหลักสูตรใหม่ ‘Mind First Aid Training’ ที่สามารถเรียนออนไลน์ได้ พร้อมใบการันตีวิชาชีพ
ผลิต ‘นักรับฟัง’ ปีนี้ให้ได้ 500 คนในปีนี้ คือเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะบรรลุ ซึ่งจะกลับไปดูแลใจคนได้ 50,000 คน ในองค์กร และรับฟังส่วนอื่นๆ ได้อีกเป็นแสนเคส ช่วยได้สองต่อ
7 ล้านคน คือจำนวนผู้พิการในไทย เมื่อหลอมรวมสองสิ่งนี้ จะมองเห็นเป็นปัญหาเดียวกัน เกิดเป็นความร่วมมือ เพื่อฝึกอบรมผู้พิการ ไม่ว่าจะเป็นร่วมกับกระทรวง พม. สาธารณสุข และแรงงาน ติดตามมาตรฐานการให้บริการในมุมแรงงานซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าได้ถึง 500,000/คน/ปี
ยิ่งไปกว่านั้น นักรับฟังหนึ่งท่าน ประหยัดงบชาติได้กว่า 1,000 ล้านบาท
ล่าสุดให้บริการบนแอพพ์สติ 100 ท่านในปัจจุบัน
คือภาพสิ่งที่จะรันในปีนี้ ให้คนไทย รับฟังด้วยหู ตา ใจ ด้วยความเข้าใจ เพราะบางครั้งคนที่มีปัญหาเล็กน้อยก็อาจคลี่คลายได้ ไม่พัฒนาไปสู่โรคทางจิตเวช
ให้การฟังสร้างพลังที่ยิ่งใหญ่ เปลี่ยนแปลงสังคมและองค์กรให้ดีขึ้นได้
ฐิติพร ประวัติศรีชัย หรือ มายด์
ที่ปรึกษา ‘นักรับฟัง พลังพิเศษ’
⦁ การได้ทำหน้าที่ตรงนี้ สร้างความรู้สึกมีคุณค่าให้กับเราอย่างไรบ้าง?
มายด์มองว่า ‘คนพิการ’ ก็คือคนเหมือนกัน ไม่แตกต่าง คุณค่าแรกที่สุดของโครงการนี้ คือเป็นพื้นที่ให้คนพิการมีงานทำ แล้วยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับคนอื่นได้ เพราะคนที่โทรเข้ามาเขาอาจจะไม่รู้หรอกว่าเราเป็นคนพิการ แต่คนพิการคนนี้สามารถทำให้เขาสบายใจมากขึ้นได้นะ ทำให้คลายปัญหาหรือความรู้สึกที่ว่า ฉันอยู่คนเดียวในโลกใบนี้ พอโทรเข้ามา ทำให้เขาสบายใจขึ้น นั่นมันเป็นความสุขของทั้งคนที่โทรมาและคนที่รับ
เพราะทุกครั้งหลังวางสายจะมีการประเมิน เป็นด้านบวกทั้งสิ้นเลย มายด์รู้สึกว่าเราไม่ควรเอาคำว่า ‘คนพิการ ทำอะไรไม่ได้’ มาแบ่งแยกอีกต่อไปแล้ว เราเห็นและมีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจนด้วยว่า ถึงพิการก็ทำงานที่มีประโยชน์กับสังคม และมีคุณค่าในตัวเองได้ด้วย
⦁ มีเคสไหน คำขอบคุณไหน ที่ตอบกลับมาแล้วรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ?
มีหลายเคสมาก ก่อนมาดูแล เราก็ต้องทดลองเป็นคนรับสายด้วยเช่นกัน จะมีอยู่เคสนึงโทรมาตอนอยู่บนสะพายลอยเลย แล้วมันมีเสียงเจื้อยแจ้วข้างหลังว่า “อย่าพึ่งๆ” ก่อนทำอะไรสักอย่าง เขาตัดสินใจโทรเข้ามา เราก็ตกใจนิดนึงที่รับสายแล้วไม่คิดว่าจะเจอเคสประมาณนี้
แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่า ไม่รู้ปัญหานี้จะหายไปยังไง แล้วไม่มีใครที่จะฟังเขาด้วย แต่ว่าเขาตัดสินที่จะโทรมาก่อนเพราะเคยโทรไปหลายองค์กรแต่ไม่มีคนรับสาย จะเป็น AI ตอบกลับ แต่พอเขาโทรมาแล้วเจอเราเป็น ‘คน’ ก็เลยได้คุย เขาพูดถึงปัญหาในครอบครัวให้ฟัง มันเป็นปัญหาค่อนข้างเซนซิทีฟมากๆ ไม่ใช่แค่ความรุนแรง แต่เป็นปัญหาทางเพศในครอบครัว
เราเลยบอกว่า “เสียงเหมือนมีคนอยู่ตรงนั้นเยอะเลยนะคะ โอเค ตอนนี้ใจเย็นก่อน เรามีเวลาคุยกันอีกเยอะเลยนะ” เราก็แนะนำตัวกับเขาไปว่า “ชื่อมายด์นะคะ อยากจะคุยด้วย แต่ตอนนี้เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันก่อนดีไหม พี่อยู่ตรงนี้ มายด์รู้สึกว่าเราอาจจะคุยกันแค่แป๊บเดียวเองนะ”
วันนั้นมายด์ถือวิสาสะ ในการให้คอนเท็กส่วนตัวไปด้วยเหมือนกัน เพราะกลัวเขาโทรมาอีกแล้วไม่เจอเรา หลังจากนั้นเขาก็ติดต่อมา เขาไม่ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจจะทำตอนแรก (ยิ้ม)
⦁ ในฐานะตัวแทนคนพิการที่เป็น ‘นักรับฟัง’ อยากบอกอะไรกับคนที่อาจจะไม่กล้าพูดคุยระบายกับใคร?
“อย่ารู้สึกว่า เวลามีความทุกข์แล้วอยู่คนเดียว” เพราะว่าเรามีพื้นที่ปลอดภัย มีคนที่ได้รับการฝึกฝน ที่เขามีความเต็มใจและตั้งใจมากๆ ที่จะเป็นนักรับฟัง เขาอาจจะช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ แต่เขามีพื้นที่ ที่พร้อมจะรับฟัง คุณจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ในโลกนี้คนเดียว
นพ.อาทิตย์ เล่าสุอังกูร
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์
⦁ สถานการณ์การฆ่าตัวตายในประเทศไทย ตอนนี้มีแนวโน้มอย่างไร สูงขึ้นหรือลดลงกว่าเมื่อก่อน?
ต้องบอกสถานการณ์ ถ้านับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ในภาพรวมปี 2562 เป็นต้นมา อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จของประเทศไทย คือเกิน 7 ต่อประชากร 1 แสนคน นั่นหมายความว่าในประชาชนแสนคน มีคนฆ่าตัวตายเกิน 7 แล้ว
พอเข้ามาสู่ปี 63 64 65 ก็เขยิบขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปีที่แล้ว 2567 ขึ้นไปถึง 7.89 คน/แสนประชากร ก็คือเกือบ 8 คน ซึ่งคือถ้าเรานับเป็นชั่วโมง ปรากฏว่า ทุก 2 ชั่วโมง มีคนฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน ส่วนคนที่พยายามฆ่าตัวตาย ที่โทรเข้ามาช่องทางต่างๆ รวมทั้งทางสติแอพพ์ด้วย ในปี 2567 เราก็พบว่ามีอัตราเกือบ 140 คน/แสนประชากร ก็คือเขายังไม่เสีย แต่คนรอบข้างพามาหาหมอ ถ้าคิดเป็นชั่วโมงก็พบว่ามีถึง 4 คนต่อ 1 ชั่วโมงที่พยายามฆ่าตัวตาย แต่โชคดีที่ยังมีคนช่วยไว้ทัน
โดยส่วนใหญ่แล้วแนวโน้มที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ สูงสุดจะเป็น ‘ผู้สูงอายุ’ ถ้าเทียบเป็นอัตรานะ แต่ว่าที่พยายามฆ่าตัวตายก็น่าเป็นห่วง เพราะพบว่าเป็นวัยรุ่น 15-19 ปี
⦁ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น เด็กวัยรุ่นพยายาม ในขณะที่ผู้สูงอายุทำร้ายตัวเองจนเสียชีวิตสำเร็จสูงที่สุด?
จริงๆ ก็ต้องบอกว่า อัตราที่ตายสำเร็จค่อนข้างสูสีกันระหว่างวัยทำงาน กับวัยสูงอายุ แต่สูงวัยจะเหลื่อมกันนิดนึง อัตราประมาณ 10 กว่าๆ ต่อแสนประชากร วัยทำงานก็เกือบ 10 คน
ในส่วนของสูงอายุ จากข้อมูลศูนย์เฝ้าระวังป้องกันการฆ่าตัวตาย (รพ.จิตเวชขอนแก่นฯ) ได้วิเคราะห์ไว้ พบว่าช่วงวัยนี้จะมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมขึ้น คือมีโรคเรื้อรัง บางคนมีโรคจิตเวช เช่นเป็นโรคซึมเศร้า หรือมีปัญหาเรื่องของ Supporting System การดูแลจากลูกๆ หลานๆ เรียกเป็นภาษาชาวบ้าน มันเป็นความเหงาด้วยส่วนนึง ที่การซัพพอร์ต การดูแลเริ่มห่างหายไป
⦁ ความเหงาดูจะค่อนข้างเกี่ยวจริงๆ เพราะผู้สูงอายุหลายคนในไทยอาศัยอยู่ในต่างจังหวัด แล้วรุ่นลูกรุ่นหลานที่เป็นวัยแรงงานก็เดินทางย้ายเข้ามาอยู่ในเขตเมือง จะได้กลับไปแค่ช่วงเทศกาล บางทีอยู่ตัวคนเดียว สังคมบ้านเรือนก็อาจจะอยู่ห่างๆ กระจายตัวกันไป?
จากที่ผมดูข้อมูล รายงานสำรวจโรค ก็พบว่าส่วนหนึ่งเป็นลักษณะแบบนี้ เพียงแต่อยากนำเรียนว่า จริงๆ ยังมีปัจจัยอื่น อย่างบางคนที่เขาครอบครัวอบอุ่นดี ก็มีปัจจัยอื่นได้เหมือนกัน เขาเรียกว่าเป็น Multifactorial อาจจะยังบอกโดยตรงทันทีไม่ได้ว่าสาเหตุเพราะอะไรเป็นประเด็นหลัก เราเคยพบว่า ครอบครัวที่ โอ้โฮ! ลูกหลานดูแลอย่างดี แต่เขาก็ฆ่าตัวตายเหมือนกัน อันนี้ต้องไปวิเคราะห์เชิงลึก ว่าจริงๆ แล้วมันแตกต่างอย่างมีนัยยะไหม?
⦁ ถ้าเวลาเพื่อนเราเครียด แล้วมาเล่าปัญหาให้เราฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราเบื่อไหม ‘เบื่อ’ ในขณะที่ตามหลักสากลแล้ว จิตแพทย์คนนึงควรจะดูแลคนไข้ประมาณ 10 คน ใน 10 ชั่วโมง แต่เรามักได้ยินบ่อยว่าในโรงพยาบาลรัฐ บางครั้งดูแลคนไข้เป็น 100-120 คน ใน 10 ชั่วโมง ข้อมูลนี้จริงไหม?
ในหลายที่เป็นอย่างนั้นนะ ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าโรงพยาบาลจิตเวชเอง บางทีมีคนไข้เยอะมาก อย่างที่ รพ.จิตเวชขอนแก่นฯ เอง ผู้ป่วยนอกวันนึง 400-600 คน คุณหมอบางทีก็ 3 คน 5 คน หารกันแล้วก็คนละ 50-60 บางทีคนมาเยอะ ซึ่งจริงๆ ก็เป็นความลำบากของระบบสุขภาพอย่างหนึ่ง เนื่องจากบางเซ็ตติ้งเราปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเขามาเราก็ต้องให้บริการก่อน แล้วเราก็อาศัยการบริหารจัดการ ซึ่งก็เป็นปัจจัยนึงที่ยากลำบากเช่นกัน
⦁ ตอนนี้เราเริ่มพูดถึงภาพใหญ่ ในการสร้างระบบนิเวศของระบบดูแลสุขภาพจิต แต่อีกมุมหนึ่ง สังคมไทยยังมีความเข้าใจที่ผิดๆ เกี่ยวกับโรคทางจิตเวช คือมองว่าเพราะเป็นคนอ่อนแอไง ถึงเป็นซึมเศร้า ถึงร้องไห้ ถึงอยากฆ่าตัวตาย และยังมีเรื่องของวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ด้วย?
ผมเห็นด้วยเลย มันจะมีอยู่ 2 กลุ่มคือประเภทว่า สายเข้มแข็ง สายขยี้ เฮ้ย! สอบตกหรอ ไม่ปลอบอ่ะ ‘ตี’ เอาให้ผ่าน อ่อนแอหรอ ถูกเขี่ยทิ้ง เข้มแข็งสิ ลุกขึ้นเองสิ! อ่อนแอก็แพ้ไป
อีกสายหนึ่งก็จะเป็นสาย ‘เพิกเฉย’ ซึ่งมีพอสมควร และบางทีเป็นประเด็น ผู้ที่ฆ่าตัวตายร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ อย่างเช่น บ่นอยากตาย อยากมีคนรับฟัง แต่เขาอาจจะคิดว่าไม่ต้องฟังก็ได้ คงไม่ทำจริงหรอกมั้ง แกล้งหรือเปล่า เผลอๆ เหนื่อยหน่ายถึงขั้นพูดว่า “ตายๆ ไปก็ดีคนแบบนี้” แล้วเพิกเฉยกันไป ไม่สนใจ อิกนอร์
ถ้าสุดโต่งทั้งสองฝั่งจะลำบาก บางทีเขาไม่ได้แกล้ง หรือสำออยนะ เพียงแต่ว่าเขามีจุดที่เขาไม่ไหวจริงๆ ไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้ ก็จะขาดคนรอบข้าง ขาดการซัพพอร์ต เหมือนอย่างที่ ซิมบับเว ที่ไม่มีใครช่วยเขา จนกระทั่งคุณหมอต้องเดินทางเข้าไปพบปัญหา แต่ถ้ามีคนช่วย ปุ๊บปั๊บ ผู้สูงอายุช่วยรับฟัง เราก็อยากเห็นความสำเร็จตรงนี้เกิดขึ้นมาเหมือนอย่าง ซิมบับเว
⦁ พูดถึงการขอความช่วยเหลือ บางเคสหรือบางคนร้องขอซ้ำๆ จนทำให้บางคนเกิดอคติ ประมาณว่า ขู่จะฆ่าตัวตาย ทำร้ายตัวเองอีกแล้ว ไม่ทำจริงหรอก ในฐานะเป็นคนที่ให้คำปรึกษา เราควรบอกเขายังไงดี?
คือปัญหาตรงนี้มันมีงานวิจัย มีตำราออกมาแล้วว่า คนที่จะลงมือฆ่าตัวตายจนสำเร็จได้ เขาจะคิดกลับไปกลับมาในหัว เป็นร้อยครั้งเลยนะ ทำดี-ไม่ดีๆๆๆ “ทำแล้วจะเจ็บไหม ถ้าทำไปแล้ว แม่จะเป็นยังไงใครจะดูแล ลูกจะอยู่ยังไง ทำไปแล้วเดี๋ยวคนนี้จะเป็นห่วง” เขาจะคิดกลับไปกลับมา บางทีก็จะระบาย ร้องขอความช่วยเหลือ ไปเขียนจดหมายน้อยบ้าง ไปโพสต์บ้าง มีพฤติกรรมแสดงออกมาที่เปลี่ยนไป
⦁ เป็นการแสดงออกครั้งเดียวแล้วทำเลย หรือมีสัญญาณเล็กๆ มาก่อน?
คือคนที่พยายามทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตายสำเร็จ จะมีสัญญาณบอกก่อนล่วงหน้าแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งบางครั้งการที่สัญญาณออกมาซ้ำๆ ทำให้คนมองว่า สัญญาณอันนี้เป็นการเรียกร้องความสนใจ ส่วนใหญ่จะมองแบบนี้ หรือรู้สึกว่า รำคาญ ตายๆ ไปได้ก็ดี อะไรแบบนี้ก็มีเหมือนกัน
⦁ แล้วคนรอบตัว จะเข้าใจคนที่อยู่ในภาวะแบบนี้มากขึ้นได้อย่างไร?
จริงๆ พวกเราทุกคนมีส่วนช่วยได้ รวมถึงอาสาสมัครนักรับฟัง หรือแม้แต่ใครก็ตาม ผมว่าสำคัญที่สุด คนที่เขาซึมเศร้า คิดอยากตาย หรือป่วยทางจิตเวช คงไม่ได้มานั่งฟังหมอที่นี่ เพราะคนที่อยากตายเขาอยู่ที่บ้าน ไม่อยากพบเจอใคร ไม่อยากออกไปไหน เพียงแต่ว่าเราที่มีกำลัง มีจิตใจดี มีใจอาสา พอจะไปช่วยสร้างความตระหนักให้กับคนรอบข้าง ไปดูแลคนที่มีความเสี่ยงจะฆ่าตัวตายได้หรือไม่
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือพวกเราทุกคน ทำยังไงให้เกิด Awareness (การตระหนักรู้) ซึ่งการเปิดตัว ‘นักรับฟัง พลังพิเศษ’ หรือ แอพพลิเคชั่น Sati ก็เป็นส่วนหนึ่ง รวมถึงภาคีเครือข่าย ที่ทำให้เกิดความตระหนัก ผมว่าสุดท้ายมันจะไปเปลี่ยน Attitude (ทัศนคติ) เปลี่ยนความเข้าใจของแต่ละคน สุดท้ายเมื่อ Attitude เปลี่ยน เราก็จะเข้าใจเองว่า เขาไม่ได้แกล้ง ไม่ได้เกเร เพียงแต่เขาไม่สบายจริงๆ คนรอบข้างจะได้มีส่วนช่วย
⦁ ในวันสำคัญ ป้องกันการฆ่าตัวตายโลก อยากฝากบอกอะไรกับคนไทย?
ปัจจุบันมันมีนวัตกรรม (Innovation) หลายอย่างที่มาช่วย รวมถึงการรวมตัวกันของอาสาสมัคร เราควรจะต่อยอดจากตรงนี้ ให้เป็นหัวใจที่มีหู
ผมอยากฝาก 2 คำ ทุกๆ คนช่วยได้ ช่วยให้เกิด Awareness และเปลี่ยน Attitude อาสาสมัครหลายท่านที่เข้ามาร่วมเป็น นักรับฟัง เขาตระหนักแล้วว่าเขาช่วยได้ แล้วทุ่มเทเพื่อให้คนรอบข้างเปลี่ยนมุมมอง ให้ผู้ป่วยได้มีที่พึ่ง ทุกคนสามารถทำได้ ถ้าเรามีความตระหนักรู้ว่าคนรอบข้างต้องการความช่วยเหลือ
ลองเปลี่ยนแอตติจูดตัวเอง ทำเพื่อคนอื่นบ้าง ยื่นมือเข้าไป โลกเราคงจะสวยงามขึ้นมาก
อมรเทพ สัจจะมุนีวงศ์
ผู้บริหารและผู้ก่อตั้งสติแอพพ์ (Sati App)
ส่วนตัวเองก็เคยเป็นผู้โรคซึมเศร้า และ Major Depressive Disorder มาก่อน และเคยได้รับการรักษามาแล้ว เคยพยายามฆ่าตัวตายอยู่ 2 รอบ จึงตื่นเต้นมากที่งานด้านสุขภาพจิต ไม่ได้ถูกพูดถึงในมุมเล็กๆ แต่ได้มาคุยในพื้นใหญ่อย่างห้าง
สิ่งที่น่าสนใจมาก ตอนนี้ กรมสุขภาพจิต ได้ทำงานกับบริษัท ‘ยังแฮปปี้’ อยู่ ซึ่งเป็นการทำงานกับผู้สูงอายุ น่าจะเป็นการเก็บข้อมูลได้อย่างน่าสนใจว่าผู้สูงอายุที่มีกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น ความสุขของเขาจะมากขึ้นตามไปด้วยหรือเปล่า นอกจากนี้ ยังมีองค์กรที่ชื่อว่า บั๊ดดี้โฮมแคร์ (Buddy HomeCare) ด้วยความเข้าใจว่าผู้สูงอายุหลายๆ ครั้ง อยู่บ้านคนเดียว เขาเลยทำบริการ ‘เช่าลูก’ ให้ไปดูแลผู้ใหญ่ในบ้านได้
ผมว่าน่าสนใจในการที่จะเข้าไปดูว่า เอ๊ะ ผู้สูงอายุที่ไม่มีซัพพอร์ตซิสเต็มจริงๆ สิ่งเหล่านี้อาจจะพอช่วยชะลอความคิด ที่เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ ได้หรือเปล่า?
ประเทศไทยมีจิตแพทย์ 1-2 คน ต่อประชากรแสนคน เรามีนักจิตหรือผู้ช่วยดูแลด้านสุขภาพจิตด้านอื่นๆ อีกประมาณ 1.57 คน/ประชากรแสนคน แต่พอเราไปดูทวีปแอฟริกา มีจิตแพทย์อยู่ที่ 1:1.5 ล้านคน นั่นหมายความว่าระบบของเขามันแย่มากๆ ถ้าเราดูการปลั๊กอินของ ซิมบับเว ประเทศหนึ่งในทวีปแอฟริกา
ที่นี่มีคุณหมอคนนึง เขามีคนไข้คนนึงที่เป็นโรควิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder) แต่อยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากๆ น้องคนนั้นมีภาวะพยายามฆ่าตัวตาย แต่เขามีเงินไม่พอ ผ่านไปสักพัก น้องเขาจบชีวิตตัวเองสำเร็จ คุณหมอเขาจึงเดินทางจากในเมืองไปยังหมู่บ้านที่น้องเขาอยู่ เขาได้เห็นว่าในพื้นที่นั้นมีเยาวชนที่ ท้องก่อนวัย และติดเชื้อ HIV สูงมาก และทำให้เด็กกลุ่มนี้เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายสูง
นอกจากนั้น เขายังเห็นว่าในหมู่บ้านนั้นมีผู้สูงอายุเยอะมาก แต่ไม่ได้ทำอะไร หลายคนอาจจะว่าง เลยทำให้เกิดความเหงา สิ่งที่หมอทำคือไปอบรมผู้สูงอายุให้เป็น ‘นักรับฟัง’ ทำ Standard Therapy แบบไม่กี่เซสชั่น แล้วให้ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ไปนั่งในม้านั่ง ตามชุมชน
จากสิ่งที่คุณหมอคนนั้นได้ทำ แล้วตีพิมพ์วารสารประมาณ 8 ฉบับได้ เขาเห็นว่า การพยายามฆ่าตัวตายในกลุ่มเสี่ยงโรคซึมเศร้า ลดลงถึง 60% จากแค่การมีคนไปรับฟัง
มันโชว์ให้เราเห็นว่า การที่เราผลิตนักรับฟังเข้ามาในชุมชน ไม่ว่าเป็นผู้พิการเอง ไม่ว่าบุคคลทั่วไป หรือสูงอายุ จริงๆ แล้วมันตอบโจทย์ทั้งสองฝ่ายนะ ฝ่ายหนึ่งเขามีคุณค่า แต่เขาไม่เคยได้ใช้คุณค่าที่เขามี เขาได้โชว์ศักยภาพในงานที่เขาทำได้ บางคนเข้าไม่ถึง ไม่รู้จะคุยกับใคร ก็เข้าถึงบริการนี้ ถ้าดูจากกรอบของ องค์การอนามัยโลก (WHO) มันเป็นขั้นแรกของการดูแลสุขภาพจิต
ในส่วนของภาระงานของบุคลากร โดยอ้างอิงจากเอกสาร Future of Mental Health in Thailand 2033 (อนาคตสุขภาพจิตไทย พ.ศ.2576) ที่บอกว่า จากที่เก็บตัวอย่างมา ระหว่างปี 2019-2022 จิตแพทย์ มีความเหนื่อยล้า หรือ Burnout สูงขึ้นถึง 5 เท่า ซึ่งปัจจัยนึงน่าจะมาจากตรงนี้ คือ ความเหนื่อย
มันก็เลยทำให้เห็น ยอดภูเขาน้ำแข็ง เราเอาภาระไปอยู่จุดที่สูงสุดของสามเหลี่ยม แล้วเราเอาจุดที่แหลมที่สุดเป็น Foundation เป็นฐานของระบบสาธารณสุขและสุขภาพจิตของเรา พอเราไปเน้นตรงนั้น มันจะพังทลายเมื่อไหร่ก็ได้
สังคมไทยยังมีความเข้าใจที่ผิด ว่าโรคจิตเวช ก็เพราะอ่อนแอทางใจไง เลยอยากฆ่าตัวตาย เป็นโรคจิต ซึ่งจริงๆ เราต้องดูทั้งในมุม Bio, Phycho และ Social
ในขณะที่อังกฤษ เปลี่ยนไกด์ไลน์การนำเสนอข่าว ห้ามนำเสนอในมิติที่ ‘ดูถูกคนฆ่าตัวตาย’ รวมถึง ‘ห้ามบอกวิธี’ เพื่อไม่ให้มีการเลียนแบบ ซึ่งอัตราลดลงจริงๆ
อธิษฐาน จันทร์กลม