ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ |
---|
แท็งก์ความคิด : เล่าเรื่องพุทธ
หนังสือชื่อ “ลอกคราบพุทธแท้ ประวัติศาสตร์ชนชั้นกลางไทยร่วมสมัย” โดย อาสา คำภา อ่านแล้วได้ความรู้
ได้รู้ถึงประวัติศาสตร์ รู้ถึงชนชั้นกลางของไทย และความรู้สึกเกี่ยวกับพุทธศาสนา
ได้รู้ถึงความสำคัญของศาสนาที่มีผลต่อการเมือง และเห็นความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับศาสนา
โดยเฉพาะศาสนาพุทธ
หนังสือเล่มนี้ถือเป็นผลงานวิจัยที่เล่าเรื่องพุทธศาสนาในไทยได้อย่างน่าติดตาม
ทำให้รู้ว่าแต่ละยุคสมัยนั้นมีการเล่าเรื่องพุทธศาสนาที่เน้นเนื้อหาแตกต่างกัน
บางยุคเน้นหนักตรงนั้น ผ่อนตรงนี้ แต่บางยุคกลับมาเน้นหนักตรงนี้ ผ่อนเบาตรงนั้น
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับห้วงเวลา
จากสมัยก่อน ศาสนาพุทธ ณ ดินแดนนี้ผูกโยงกับคติไตรภูมิ ที่อธิบายถึง กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ
มีความผูกพันกับความเชื่อเรื่องกรรม อดีตชาติ ปัจจุบัน และโลกหน้า
แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลง สยามประเทศมีสัมพันธ์กับต่างชาติ ทำให้พุทธศาสนาต้องแสวงหาจุดแข็งไปสู้กับลัทธิอื่น
การเล่าเรื่องพุทธอย่างมีเหตุมีผลได้กลายเป็นความจำเป็น และการสร้างความน่าเชื่อถือให้ศาสนาพุทธกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน
พุทธศาสนานิกายเถรวาทอุบัติขึ้นในช่วงนี้ และทำให้ศาสนาพุทธได้รับความเชื่อถือ
เป็นพุทธที่นิยมวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายเหตุและผล และยืนหยัดสู้กับลัทธิความเชื่ออื่นๆ ได้
พุทธศาสนาช่วงนั้นให้ความสำคัญต่อพระไตรปิฎก มากกว่าคติไตรภูมิ
ลดความสำคัญด้าน “จิตนิยม” เพิ่มความสำคัญให้กับเหตุและผล
เมื่อเวลาหมุนต่อไป สยามเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ชนชั้นกลางเริ่มเข้ามามีบทบาทกับพุทธศาสนา
ในหนังสือระบุว่า เหตุการณ์ 2475 ก่อให้เกิด “พื้นที่ของสามัญชน” ในมิติของพุทธศาสนามากขึ้น
ชนชั้นกลางสนับสนุนกิจกรรมทางพุทธศาสนา เช่น สนับสนุนวัดสวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี มีสมาคมส่งเสริมพระพุทธศาสนา มีพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย มียุวพุทธิกสมาคม เกิดขึ้น
และเมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่ช่วงต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ พุทธศาสนาได้ชูความเหนือ โดยเน้นที่ “จิตนิยม” ขณะที่มองว่าคอมมิวนิสต์เน้นที่ “วัตถุนิยม”
การเปรียบเทียบดังกล่าวทำให้พุทธศาสนาเน้นการทำวิปัสสนากรรมฐานอีกครั้ง ยิ่งเมื่อกาลทับซ้อนกับช่วงกึ่งพุทธกาลตามพุทธทำนายที่ว่า เมื่อเวลาล่วงเลยถึง 2500 ปี ศาสนาพุทธจะเริ่มเสื่อม
ยิ่งทำให้มีแรงสนับสนุนพุทธศาสนาเพื่อให้ดำรงอยู่ต่อไปจากหลายทิศทาง
จังหวะก้าวพุทธศาสนาในไทยจากวันนั้นถึงวันนี้ ได้บังเกิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย ปัจจุบันเรามีพระเซเลบ มีภิกษุณี มีฆราวาสเผยแผ่ธรรมะ
น่าสังเกตว่า ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี หรือฆราวาส ที่ได้รับความเชื่อถือ ล้วนเป็นความเชื่อถือในฐานะผู้เผยแผ่พระธรรม
เป็นความศรัทธาต่อผู้ที่เผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้เข้าใจ
จากยุคหนึ่งที่มอบความศรัทธาให้เฉพาะสงฆ์ แต่เมื่อมีคนในผ้าเหลืองเกิดเรื่องฉาวจนสังคมตั้งคำถามมากมาย ความศรัทธาก็มีการเปลี่ยนแปลง
ปัจจุบัน สังคมจึงให้ความศรัทธาต่อพระสงฆ์ ให้ความศรัทธาต่อภิกษุณี แม่ชี รวมไปถึงวิทยากรคนธรรมดา
จากข้อสังเกตดังกล่าว สรุปให้เห็นว่าความศรัทธาไม่ได้ติดอยู่ที่ “คน” หากแต่เป็นความศรัทธาใน “ธรรม”
ดังนั้น ท่ามกลางกระแสข่าวพระผู้ใหญ่ พระดัง ตกเป็นเหยื่อโลภ โกรธ หลง จนหมดสภาพ หากได้นั่งพินิจพิจารณา
นั่นคือ “คน” ไม่ใช่ “พระธรรม”
ขณะที่แก่นแท้ที่สร้างศรัทธาจากอดีตสู่ปัจจุบันคือเนื้อความในพระธรรม
เป็นเนื้อความที่แนะแนวทางให้ผู้ปฏิบัติตามพ้นทุกข์
ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับพุทธศาสนาในไทยยังต้องมีต่อไป ตราบเท่าที่พระธรรมยังคงส่องทางให้ผู้ศึกษาและปฏิบัติตามได้พ้นทุกข์
นฤตย์ เสกธีระ