รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เดินหน้าสานต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยอดนิยม “คนละครึ่ง” เตรียมเปิดรอบใหม่ในปี 2568 โดยปรับโครงสร้างสิทธิพิเศษ แยกเป็น 2 กลุ่มหลัก เน้นสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษี ขณะเดียวกัน ยังคงสิทธิเดิมสำหรับประชาชนทั่วไปและผู้ถือบัตรสวัสดิการ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งรอบใหม่จะไม่ใช่เพียงการกระตุ้นการใช้จ่ายชั่วคราว แต่มีเป้าหมายระยะยาวในการวางรากฐานเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนในการบริหารการคลังของประเทศ
“สิ่งสำคัญคือเราต้องการให้โครงการนี้ตอบโจทย์ทั้งประชาชนและประเทศ ไม่ใช่แค่การแจกเงิน แต่เป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนอยู่ในระบบภาษี และกระตุ้นการใช้จ่ายที่ยั่งยืน” นายเอกนิติกล่าว
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งรอบใหม่จะแบ่งสิทธิออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์โครงการจะยังคงใกล้เคียงกับคนละครึ่งเดิมประมาณ 80-90% เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสน แต่จะมีการเพิ่ม “กิมมิก” ใหม่ เช่น สิทธิ 60:40 สำหรับผู้เสียภาษี เพื่อเพิ่มแรงจูงใจและทำให้โครงการมีความน่าสนใจมากขึ้น
นายลวรณกล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ยังอยู่ระหว่างออกแบบรายละเอียด แต่หลักการสำคัญคือการรักษาความต่อเนื่องของโครงการเดิม และสร้างแรงจูงใจใหม่ให้กับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี
สำหรับงบประมาณเบื้องต้น หากโครงการเริ่มเดือนตุลาคม 2568 จะใช้งบประมาณปี 2569 ในหมวดงบฯกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงินราว 25,000 ล้านบาท โดยหากความต้องการขยายวงเงินหรือเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ รัฐบาลอาจพิจารณาดึงงบฯกลางจากรายการอื่นมาสนับสนุน
“แม้การใช้งบประมาณจำนวนมากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลต้องจัดลำดับความสำคัญให้ชัดเจน ว่าเงินควรนำไปใช้ในด้านใด เพื่อให้เกิดผลคุ้มค่าสูงสุด” นายลวรณย้ำ
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และหนึ่งในทีมเศรษฐกิจ เปิดเผยในรายการเจาะลึกทั่วไทยว่า ขณะนี้ว่าที่รัฐมนตรีคลังกำลังเก็บข้อมูลและเตรียมรายละเอียดอย่างเร่งด่วน โดยกระทรวงการคลังยืนยันว่ามีงบประมาณรองรับแล้วราว 25,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ทันทีหาก ครม.ชุดใหม่เริ่มทำงานและอนุมัติ
“เชื่อว่าไม่เกิน 2 สัปดาห์หลัง ครม.เริ่มทำงาน ก็น่าจะเดินหน้าโครงการได้ทันที” นายสิริพงศ์กล่าว พร้อมเสริมว่า นายกรัฐมนตรีเองก็มีแนวโน้มอยากขยายวงเงินมากกว่า 25,000 ล้านบาท หากมีความจำเป็นและงบประมาณเอื้ออำนวย
ด้านกลุ่มเป้าหมาย แม้รอบก่อนจะจำกัดสิทธิให้เฉพาะผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไปและกลุ่มเปราะบาง แต่รอบใหม่นี้อาจมีการขยายสิทธิไปยังกลุ่มอื่นเพิ่มเติม ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างพิจารณา
สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วม นายสิริพงศ์ย้ำว่า ผู้ค้าไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง หากขายดีจนต้องเสียภาษี นั่นเป็นหน้าที่ปกติ แต่จะไม่มีการเช็กบิลย้อนหลัง ส่วนสินค้าต้องห้ามที่จะใช้ในโครงการ คาดว่าจะยังคงเดิม เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หากคณะรัฐมนตรีใหม่มีมติอนุมัติ โครงการคนละครึ่งรอบใหม่จะเปิดให้ใช้สิทธิได้เร็วที่สุดในเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งจะเป็นการต่อยอดมาตรการที่ได้รับความนิยมและมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนตลอดหลายปีที่ผ่านมา
รัฐบาลคาดหวังว่าการปรับรูปแบบในครั้งนี้ จะไม่เพียงช่วยเหลือประชาชนทั่วไป แต่ยังเป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้ผู้เสียภาษี 11 ล้านคน ซึ่งถือเป็นกำลังหลักทางเศรษฐกิจของประเทศได้รับประโยชน์โดยตรง และพร้อมเดินหน้าร่วมกับรัฐในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืนมากขึ้น