คุยหลังเกม! เจาะชัยชนะ "ลิเวอร์พูล" และความพ่ายแพ้ของ "เชลซี" ในศึก "ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก"
GH News September 18, 2025 11:12 AM

หลังจากที่อาร์เซน่อล และท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ โชว์ฟอร์มคว้าชัยในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา มาถึงคิวของอีกสองทีมดังจากพรีเมียร์ลีกอย่าง ลิเวอร์พูล และเชลซี ที่ลงสนามฟาดแข้งกันเมื่อคืนวันที่ 17 กันยายน 2568 โดยต่างฝ่ายต่างเจอเกมสุดดราม่า

เริ่มกันที่คู่ระหว่าง ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์ต้อนรับการมาเยือนของ แอตเลติโก มาดริด ก่อนที่ “หงส์แดง” จะเฉือนชนะไปแบบสุดระทึก 3-2 จากประตูชัยช่วงทดเจ็บของ เวอร์จิล ฟาน ไดค์

ลูกโหม่งของฟาน ไดค์ในนาทีสุดท้าย ทำให้เขายิงประตูที่ 25 ให้กับลิเวอร์พูลในทุกรายการ นับตั้งแต่ย้ายมาจากเซาธ์แฮมป์ตันเมื่อปี 2018 และยังครองสถิติเป็นกองหลังที่ทำประตูจากลูกโหม่งมากที่สุดในห้าลีกใหญ่ยุโรป

ชัยชนะครั้งนี้ยังทำให้ลิเวอร์พูลสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกในพรีเมียร์ลีก ที่คว้าชัยชนะ 5 นัดติดต่อกันจากการยิงประตูในช่วง 10 นาทีสุดท้ายหรือทดเวลาบาดเจ็บ

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กลายเป็นคนจุดประกายให้แฟนบอลในแอนฟิลด์ได้เฮตั้งแต่นาทีที่ 6 หลังยิงหนึ่งและแอสซิสต์หนึ่งอย่างรวดเร็ว กลายเป็นผู้เล่นอังกฤษคนแรกที่ทำทั้งยิงและจ่ายในช่วง 6 นาทีแรกของเกมแชมเปียนส์ลีก

ตลอดทั้งเกม ซาลาห์ยังมีโอกาสทำเพิ่มอีก โดยเฉพาะจังหวะยิงชนเสาในครึ่งหลังที่เกือบปิดบัญชี แต่ความเฉียบคมที่เริ่มกลับมา ทำให้เขาก้าวขึ้นไปแซง เธียร์รี อองรี ในชาร์ตดาวซัลโวสูงสุดของแชมเปียนส์ลีกตลอดกาล

ปัจจุบัน ดาวเตะอียิปต์ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 10 ของดาวซัลโวสูงสุด ด้วยจำนวน 52 ประตู และยังมีโอกาสยิงเพิ่มอีกมากในการแข่งขันฤดูกาลนี้

นอกจากนี้ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ยังได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริง และโชว์ฟอร์มได้ดีตลอด 57 นาทีแรก โดยประสานงานกับ ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ ได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะยังไม่ทำประตู แต่แฟนหงส์แดงต่างมองว่าเขาจะเป็นกำลังหลักของทีมในอนาคต

ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ เองก็มีบทบาทเด่นในครึ่งหลัง โดยสร้างโอกาสถึง 5 ครั้ง และสัมผัสบอลในกรอบเขตโทษมากที่สุดในทีม ก่อนถูกเปลี่ยนออกช่วงท้ายเกม

ช่วงควอเตอร์สุดท้าย ลิเวอร์พูลยังส่งดาวรุ่ง ริโอ อึนกูโมฮา ลงสนาม และสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดของสโมสรที่ได้ลงเล่นในเกมยุโรป ด้วยวัยเพียง 17 ปี 19 วัน

คู่กลางอย่าง โดมินิก โซบอสซ์ไล และ ไรอัน กราเวนเบิร์ช ก็โชว์ฟอร์มแข็งแกร่ง ทั้งการคุมจังหวะเกมและจ่ายบอลทะลุแนวรับ ทำให้ลิเวอร์พูลสามารถรักษาระดับความเข้มข้นจนปิดเกมด้วยชัยชนะสำคัญ

ชัยชนะเหนือแอตเลติโกครั้งนี้ ช่วยเพิ่มความมั่นใจก่อนศึกเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่จะพบเอฟเวอร์ตัน รวมถึงเกมถัดไปในแชมเปียนส์ลีกที่จะบุกเยือนกาลาตาซาราย

ขยับมาที่เกมใหญ่ในเยอรมนี บาเยิร์น มิวนิก เปิดบ้านเอาชนะ เชลซี ไป 3-1 โดย “สิงห์บลูส์” ได้ประตูเดียวจาก โคล พาลเมอร์ ดาวรุ่งตัวเก่งที่เพิ่งหายเจ็บกลับมา

พาลเมอร์โชว์ความมั่นใจในเกมนี้ โดยการลากบอลทะลุแนวรับบาเยิร์นไปยิงผ่าน มานูเอล นอยเออร์ ตีเสมอให้เชลซีเป็น 1-1 ก่อนที่เจ้าถิ่นจะเร่งเครื่องและปิดจ็อบในช่วงท้ายเกม

นี่ถือเป็นการมีส่วนร่วมโดยตรงกับประตูครั้งที่ 73 ของพาลเมอร์ให้เชลซี จากการลงเล่นครบ 100 นัด โดยแบ่งเป็น 45 ประตู และ 28 แอสซิสต์ ซึ่งสถิติชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเขากับทีมอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม เชลซียังเจอปัญหาในเกมรุก โดยเฉพาะการขาด เลียม เดอลาป ที่บาดเจ็บยาว ทำให้ต้องใช้เพียง โจเอา เปโดร และมาร์ก กุยอู เป็นตัวเลือกหลักในแดนหน้า ซึ่งยังไม่สามารถกดดันแนวรับบาเยิร์นได้มากพอ

บาเยิร์นที่มีแว็งซ็องต์ กอมปานี คุมทัพ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาสไตล์การเล่นเพรสซิ่งสูง ทำให้เชลซีเจอปัญหาตั้งแต่การเล่นจากแดนหลัง

เกมนี้ โคล พาลเมอร์ ยังถูกจับล้ำหน้าไปอีกครั้ง แต่ก็ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกของฟอร์มที่กลับมา พร้อมทั้งสร้างความหวังให้แฟนสิงห์บลูส์ก่อนเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีกสุดสัปดาห์นี้

สำหรับเกมถัดไปในแชมเปียนส์ลีก เชลซีจะเปิดบ้านรับการมาเยือนของ เบนฟิก้า ทีมดังจากโปรตุเกส ซึ่งแฟนบอลต่างคาดหวังว่าฟอร์มร้อนแรงของพาลเมอร์จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ทีมกลับมาได้ชัยชนะ


#ลิเวอร์พูล #เชลซี #ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก #Liverpool #Chelsea #UCL #หงส์แดง #สิงห์บลูส์ #บอลยุโรป #ข่าวฟุตบอล
 

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.