นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การแก้ปัญหาภัยการเงินมีความท้าทายไม่น้อย จะเห็นได้ชัดจากกรณีการจัดการบัญชีม้าล่าสุด ที่พบว่าหนึ่งในการดำเนินการเพื่อจัดการภัยการเงิน ในการต่อเส้นเงินตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (พ.ร.ก. ไซเบอร์) ที่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยกักเงินคืนให้ผู้เสียหาย มีผลกระทบต่อผู้สุจริตในเส้นเงินมากกว่าคาด ธปท.จึงได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และภาคีที่เกี่ยวข้อง เร่งปรับกระบวนการ ให้ปลดระงับบัญชีทำได้เร็วขึ้นตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และกำลังปรับปรุงกลไก เพื่อลดผลกระทบต่อผู้สุจริต ให้ทำได้ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ เพื่อช่วยคลายความกังวลของร้านค้า และสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในการใช้ระบบชำระเงินดิจิทัล
“ในทศวรรษที่ผ่านมา การเงินดิจิทัล (digital finance) ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะระบบการชำระเงินดิจิทัล หรือ fast payment ที่ทำให้การทำธุรกรรมสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงได้ จนเปลี่ยนวิถีชีวิตทางการเงินของทั้งประชาชนและภาคธุรกิจไปอย่างมาก ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของไทยคือ พร้อมเพย์ที่ประชากรไทยกว่า 70% ได้ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และปัจจุบันมีการใช้งานกว่า 76 ล้านรายการต่อวัน และมีมูลค่าการโอนเงินเฉลี่ยต่อวันสูงกว่า 144 พันล้านบาท ที่สำคัญ พัฒนาการเหล่านี้ยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ให้กับแรงงาน ครัวเรือน และธุรกิจน้อยใหญ่ ให้เข้าถึงเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยต้นทุนที่ต่ำลง” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความเสี่ยงภัยการเงินที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก และกำลังเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของคนไทยในวงกว้าง โดยตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วกว่า 1 ล้านราย มูลค่าความเสียหายเกือบ 9.8 หมื่นล้านบาท ธปท.จึงร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและนอกภาคการเงินในการเสริมสร้างระบบการจัดการภัยการเงินให้เข้มแข็งและเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง
โดยภัยการเงินที่รุนแรงขึ้นในขณะนี้ สะท้อนให้เห็นถึง trade off ที่มากับการเงินดิจิทัล ที่แม้สร้างความสะดวกและโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงทางการเงินที่คุกคามประชาชน การจะสร้างสมดุล เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างมั่นใจ ต้องพัฒนาสามองค์ประกอบหลักควบคู่กัน คือ เทคโนโลยี การกำกับดูแล และข้อมูล
ทั้งนี้ ภัยการเงินในประเทศไทย โดยเฉพาะการหลอกลวงที่เหยื่อยินยอมโอนเงินเอง กำลังแพร่กระจายรวดเร็ว ตามการเติบโตของระบบชำระเงินที่รวดเร็ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างและความจำเป็นที่ต้องทำให้ 3 องค์ประกอบนี้ดีขึ้น คือ ด้านเทคโนโลยี ระบบ fast payment ที่ทำให้ธุรกรรมง่าย รวดเร็ว ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา และแทบไม่มีค่าใช้จ่าย ได้เอื้อให้เกิดการหลอกลวงที่ยากต่อการจัดการ ใน 2 มิติหลัก คือ 1.fast payment ผนวกกับเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มที่เชื่อมผู้คนจำนวนมากเข้าหากันง่ายขึ้น มีเอไอทำให้กลโกงแนบเนียนขึ้น ส่งผลให้การหลอกลวงเกิดง่าย ขยายวงกว้าง และใกล้ตัว มีข้อมูลว่า คนใน 7,000 คน มี 70% เคยถูกชักชวนหรือหลอก และ 30% ได้รับความเสียหาย และครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร
และ 2.Speed: fast payment เปิดทางให้มิจฉาชีพโอนเงินออกนอกระบบได้เร็ว เงินจึงหายไวและตามได้ยาก โดยข้อมูลชี้ว่า เงินกว่า 50% ถูกโอนออกใน 3 นาที ขณะที่เหยื่อใช้เวลาเฉลี่ย 18 ชั่วโมงกว่าจะรู้ตัวและแจ้งความ ทำให้การรับมือของสถาบันการเงินต้องแข่งกับเวลาและเทคโนโลยี
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงต้องให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาข้อมูลในทุกมิติ ผ่านการส่งเสริม การแชร์ เชื่อมโยง และวิเคราะห์ข้อมูลทั้งระบบ รวมถึงการแจ้งความของประชาชน การใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างภาคส่วน การเปิดเผยข้อมูล และมีกลไกที่ช่วยให้ประชาชนใช้ข้อมูลในการตัดสินใจอย่างรอบคอบ โดย ธปท.ได้จัดตั้งระบบฐานข้อมูล Central Fraud Registry เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถาบันการเงิน และขยายความครอบคลุมทั้งธนาคาร นอนแบงก์ และศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมพัฒนาระบบการรับแจ้งความที่สะดวกขึ้นผ่าน AOC 1441 เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ถูกหลอกลวงอย่างทันถ่วงที
สำหรับปี 2569 ไทยในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และกลุ่มธนาคารโลก (World Bank) ซึ่งหัวข้อที่หารือในครั้งนี้จะถูกหยิบยกเป็นหัวข้อสำคัญในการประชุมประจำปีด้วย โดยที่ผ่านมา จากมาตรการต่างๆ ที่ธปท.ดำเนินการ เริ่มเห็นผลเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง อาทิ แอพพ์ดูดเงิน ทยอยหมดไปตั้งแต่ต้นปี 2568 จากที่เคยมีถึง 7,444 กรณี ในปี 2566 และได้จัดการบัญชีม้าไปแล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี ซึ่งมีส่วนทำให้ความเสียหายของกรณีโดนหลอกให้โอนเอง ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 8,950 ล้านบาทในไตรมาส 2 ของปี 2567 เป็น 5,651 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปี 2568