วันที่ 19 ก.ย.68 เพจ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร โพสต์ข้อความระบุว่า ....
จดหมายเปิดผนึกถึงนายกอนุทิน ชาญวีรกูล
มูลนิธิสืบนาคะเสถียรขอยืนยันเจตนารมณ์คัดค้านการเพิกถอนพื้นที่ 2.6 แสนไร่ ออกจากการเป็นอุทยานแห่งชาติทับลาน
สืบเนื่องจากในวันที่ 21 กันยายน 2568 นี้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะมีการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชนที่เกี่ยวข้องและประชาชนในการกำหนดแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน (เพิ่มเติม) นั้น มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ขอยืนยันเจตนาคัดค้านการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลานทั้ง 265,286.58 ไร่ เพื่อกันออกจากการเป็นอุทยานแห่งชาติและส่งมอบพื้นที่ให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เนื่องจากอุทยานแห่งชาติทับลานเปรียบเสมือนไข่แดงของกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เป็นทางเชื่อมของสัตว์ป่าในการเดินข้ามไปมาระหว่างพื้นที่ในกลุ่มป่า เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าที่มีขนาดใหญ่อันดับสองของประเทศไทย ถือเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของผืนป่าและความหลากหลายทางชีวภาพ อีกทั้งผืนป่าบริเวณดังกล่าวมีศักยภาพและความอุดมสมบูรณ์มากพอต่อการขยายตัวของจำนวนเสือโคร่ง
การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 47 ได้มีมติย้ำความห่วงกังวล ต่อการที่ยังคงมีการพิจารณาลดขนาดของพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของแหล่งมรดกโลก และขอเตือนให้รัฐภาคีตระหนักว่า การปรับเปลี่ยนแนวเขตภายในประเทศที่อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อขอบเขตของแหล่งมรดกหรือคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล (OUV) โดยมิได้เสนอคำขอแก้ไขขอบเขตอย่างมีนัยสำคัญต่อศูนย์มรดกโลก ตามแนวทางอนุวัตตามอนุสัญญา และมิได้รับการอนุมัติเห็นชอบจากคณะกรรมการมรดกโลก อาจทำให้แหล่งมรดกโลกเผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อคุณลักษณะสำคัญของแหล่ง ทั้งนี้เป็นไปตามย่อหน้าที่ 180 (b) ของแนวทางอนุวัตตามอนุสัญญา และการจัดตั้งเขตกันชนใดๆ จะต้องได้รับการเห็นชอบจาก คณะกรรมการมรดกโลก ตามย่อหน้าที่ 107 ของแนวทางอนุวัตตามอนุสัญญ เช่นกัน
ดังนั้นการพิจารณาเพิกถอนพื้นที่ขนาดใหญ่ออกจากระบบพื้นที่คุ้มครอง ควรพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ โดยขอให้พิจารณาแยกกลุ่มปัญหา ห้วงเวลา ที่มีหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการในการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน ไม่ควรรวมทุกกลุ่มปัญหานำวิธีการเดียวกันมาแก้ไข เพราะหากขาดความระมัดระวังจะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของระบบนิเวศป่าไม้ และสัตว์ป่า รัฐบาลไทยควรปกป้องรักษาคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากลของกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ผืนป่ามรดกโลก เพื่อรักษาพันธสัญญาทางกฎหมายที่ประเทศได้ให้ไว้ในระดับนานาชาติ และคงความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืนต่อไป
ร่วมรักษาผืนป่า สัตว์ป่า และความยั่งยืนของทุกชีวิต https://www.seub.or.th/donate/