“ศาลปกครองกลาง”พิพากษา ชี้สภากาชาดไทยไม่ต้องรับบริจาคโลหิตจากชายรักชาย
GH News September 19, 2025 10:14 PM

วันที่ 19 กันยายน 2568 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติทางเพศโดยไม่เป็นระหว่างเพศ (คกก.วลพ.) เลขที่ 01/2565 ลงวันที่ 1 มี.ค.2565   ที่วินิจฉัยว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ปฏิเสธการรับบริจาคโลหิตจากผู้ขอบริจาคโลหิตเพศกำเนิดเป็นชาย แต่มีเพศสภาพเป็นหญิง และมีเพศสัมพันธ์กับเพศชาย โดยถือเป็นผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อถ่ายทอดผ่านทางโลหิต เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ตาม พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 จึงมีคำสั่งให้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาด ไทย ดำเนินการกำหนดนโยบายในการรับบริจาคโลหิตที่อาจไม่ปลอดภัย โดยใช้เกณฑ์ในการพิจารณาจากพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงของผู้บริจาคแทนระบบการคัดกรองโลหิตที่พิจารณาความเสี่ยงที่กำหนดตามเพศหรือเพศสภาพของกลุ่มบุคคล ที่สภากาชาดไทย ระบุให้เป็นกลุ่มผู้บริจาคที่มีความเสี่ยงสูงและประชาสัม พันธ์นโยบายการรับบริจาคโลหิตจากบุคคลทุกเพศในสื่อต่างๆ เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบโดยทั่วกัน โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ คกก.วลพ.มีคําวินิจฉัย

ศาลให้เหตุผลว่า ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภาพกาชาดไทยได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นแกนกลางในการให้บริการโลหิตของประเทศตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14ธ.ค.2508 มีหน้าที่รับผิดชอบต่อความปลอดภัยของทั้งผู้บริจาคโลหิตและผู้รับบริจาคโลหิต กรณีนี้จึงเห็นได้ว่า สภากาชาดไทยมีความจำเป็นที่จะต้องทำการคัดกรองโลหิตเพื่อให้ได้โลหิตที่มีความปลอดภัย เมื่อพิจารณาข้อมูลการกำหนดให้งดบริจาคโลหิตสำหรับเพศชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศชายของนานาประเทศมีข้อมูลตรงกันว่าพฤติกรรมดังกล่าวมีความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูง  สภากาชาดไทยย่อมไม่อาจปฏิบัติต่อผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวเป็นอย่างอื่นได้ หากให้ผู้บริจาคโลหิตที่มีพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวบริจาคโลหิตได้ โดยที่ยังมิได้กำหนดแนวทางปฏิบัติไว้เป็นการเฉพาะ อาจจะก่อความเสียหายเกิดแก่ผู้ป่วย ผู้รับบริจาคโลหิต หรือสังคมโดยส่วนรวมที่มีโอกาสได้รับโลหิตที่ไม่ปลอดภัย

การที่ สภากาชาดไทย ไม่รับบริจาคโลหิตของผู้ขอบริจาคโลหิตเพศกำเนิดเป็นชาย แต่มีเพศสภาพเป็นหญิง และมีเพศสัมพันธ์กับเพศชายดังกล่าว จึงเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้รับบริจาคโลหิต ไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ที่ขัดต่อ พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 คกก.วลพ. จึงไม่มีอำนาจออกคำสั่งให้ให้สภากาชาด ไทยปฏิบัติตามได้ การที่ คกก.วลพ.มีคำวินิจฉัยดังกล่าวถือเป็นการใช้ดุลพินิจไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าว โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่มีคำวินิจฉัยดังกล่าว สำหรับคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ลงวันที่ 25ก.ค.2565 นั้น ให้มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

อย่างไรก็ตาม ในคดีนี้องค์คณะตุลากการเจ้าของสำนวน ได้แสดงความเห็นที่ไม่เป็นการบังคับเพิ่มเติม โดยระบุว่าการที่ สภากาชาดไทย ออกบัตรประจำตัวชั่วคราวสำหรับผู้บริจาคโลหิตให้แก่ผู้ขอบริจาคโลหิต กรณีเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีเชื้อเอชไอวีในโลหิต ทำให้บุคคลดังกล่าวไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ตลอดชีวิตนั้น โดยที่สภากาชาดไทยไม่ได้มีข้อเท็จจริงอย่างชัดแจ้งว่า ผู้ขอบริจาคโลหิตมีเชื้อเอชไอวีในโลหิตหรือไม่ ประกอบกับเมื่อบุคคลทั่วไปที่ได้ทราบกรณีพิพาทดังกล่าวจากสื่อสาธารณะเกิดความเข้าใจว่า ผู้ขอบริจาคโลหิตดังกล่าวเป็นผู้ที่มีโลหิตไม่ปลอดภัยและเป็นบุคคลที่มีเชื้อเอชไอวี จนเกิดการดูหมิ่นหรือเยาะเย้ยผู้ขอบริจาคโลหิตรายนั้นๆอย่างร้ายแรง การกระทำของสภากาชาดไทยดังกล่าว จึงมีลักษณะเป็นการกระทบต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของผู้ขอบริจาคโลหิตเพศกำเนิดเป็นชาย แต่มีเพศสภาพเป็นหญิง เพื่อนำไปสู่ความเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์ อันเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในการปกป้องอัตลักษณ์ของมนุษย์และคุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์แต่ละคนที่ คกก.วลพ.ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพต่อการแทรกแซงของสภากาชาด ไทยได้ ผ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.