หมอศิริราชพยาบาลชี้ โครงการ Stand by you แชทไลน์ปรึกษาเอชไอวี หลังร่วมบัตรทอง เข้าถึงวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง ลดติดเชื้อใหม่
ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และผู้ก่อตั้งโครงการ Stand by you เปิดเผยว่า จากการที่โครงการ Stand by you ซึ่งเป็นโครงการให้คำปรึกษา ประเมินความเสี่ยง แจกชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV Self-test) และให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผ่าน Line OA แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ให้บริการให้คำปรึกษาด้านเอชไอวีของโครงการเป็นบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ในปี 2568 ได้ช่วยให้มีคนเข้ารับคำปรึกษา และรับชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีเพิ่มขึ้น รวมถึงทำให้ลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในกลุ่มเด็กวัยรุ่นได้อีกจำนวนมาก
“ถือเป็นเรื่องดีอย่างมาก ที่บริการของ Stand by you ได้เข้าไปอยู่ในระบบบัตรทอง เพราะช่วยให้คนสามารถเข้าถึงได้ง่ายและมากขึ้น ทั้งการให้คำปรึกษา และบริการชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเอง ส่วนงบประมาณที่ได้รับ ก็ได้นำไปเพิ่มศักยภาพของระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย” ศ.พญ.กุลกัญญา กล่าวและว่า เนื่องจากผลการดำเนินงานของโครงการ Stand by you ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นถึงการเข้าถึงผู้ที่มีความเสี่ยงสูงได้จริง โดยตลอด 3–4 ปี ของการให้บริการดังกล่าว (ก่อตั้งเดือนสิงหาคม 2565) มีคนกดเข้ามาดูในไลน์ Stand by you ถึง 5 แสนคน มีผู้มาใช้บริการประมาณ 1.6 แสนคนทั่วประเทศ และมีการให้คำปรึกษาพร้อมส่งชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีแล้วกว่า 3 หมื่นคน ซึ่งอายุของผู้ขอรับบริการนั้น ราว 2 ใน 3 มีอายุน้อยกว่า 30 ปี และในจำนวนนี้ พบผลบวกแสดงถึงการติดเชื้อร้อยละ 2.8 โดยสูงกว่าอัตราการติดเชื้อในประชาชนทั่วไปถึง 3 เท่า
ศ.พญ.กุลกัญญา กล่าวว่า การตรวจเอชไอวี ถือเป็นก้าวแรกที่มีความสำคัญที่สุด หากไม่ติดก็ต้องป้องกันและไม่ประมาทอีก หากติดเชื้อก็เข้าสู่การรักษาไม่แพร่เชื้อต่อ ทุกๆ คนควรต้องรู้สถานะการติดเชื้อของตัวเอง แต่หากต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลก็จะต้องขาดงาน ขาดเรียน ไม่สะดวก การตรวจเองที่บ้านจึงตอบโจทย์ ซึ่งปัจจุบัน Stand by you ส่งชุดตรวจคัดกรองออกไปประมาณ 2 หมื่นชุด ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่มีข่าวเยอะๆ ก็จะมีผู้มาขอชุดตรวจเพิ่มมากขึ้น
ศ.พญ.กุลกัญญา กล่าวต่อไปว่า การที่วัยรุ่นกลุ่มเสี่ยงได้เข้าถึงบริการให้คำปรึกษา จนนำไปสู่การได้รับชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีจาก Stand by you ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะหากผู้ที่ตรวจได้ผลบวกโดยที่ยังไม่มีอาการ จะทำให้ได้เข้าสู่การรักษาทันที และหยุดการส่งต่อเชื้อ ซึ่งมีผลการศึกษาพบว่า คนที่ติดเชื้อเอชไอวีแล้วไม่ได้มารักษาโดยเร็ว แต่มารักษาตอนที่มีอาการหรือป่วยแล้ว จะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นต่อได้ประมาณ 3 – 6 คน
ดังนั้น ถ้าส่งชุดตรวจได้ 100 ชุด จะสามารถป้องกันการติดเชื้อรายใหม่ได้ประมาณ 10 คน ซึ่งปัจจุบันไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ปีละประมาณ 9,000 คน ขณะที่เป้าหมายยุทธศาสตร์เอดส์ชาติ พ.ศ. 2560 – 2573 คือ ลดให้เหลือปีละ 1,000 คน นั่นหมายความว่า ถ้าต้องการช่วยลดผู้ป่วยรายใหม่ให้ได้ตามเป้า จะต้องส่งชุดตรวจให้ได้ประมาณ 1 แสนชุดต่อปี และทำอย่างต่อเนื่องด้วย
“ถ้าไม่ทำอะไร จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8,000 คนต่อปี ซึ่งถ้าเขาติดเชื้อ เชื้อก็จะอยู่กับเขาตลอดชีวิต แล้วถ้าอีก 50 ปีเป็นแบบนี้ทุกปี เท่ากับจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 4 แสนคน ซึ่งการรักษาจะยิ่งทำให้ภาระงบประมาณสูงขึ้นอีกมาก เพราะตอนนี้ค่ายารักษา 1 คนประมาณ 5 หมื่นบาทต่อปี ถ้าคูณด้วย 4 แสนคน เท่ากับถึงตอนนั้นจะต้องใช้งบค่ายาเพิ่มขึ้นถึงอีกปีละ 2 หมื่นล้านบาท ฉะนั้นการค้นเจอผู้ที่ติดเชื้อได้เร็วและนำเข้าสู่การรักษาถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก เพราะป้องกันไม่ให้เกิดรายใหม่ ยังไม่รวมความดีงามที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของผู้ที่อยู่ร่วมกับเอชไอวี และสังคมด้วยเมื่อได้รับการรักษา” พญ.กุลกัญญา กล่าว
พญ.กุลกัญญา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการของ Stand by you ก็ยังมีความท้าทายอยู่หลายเรื่อง ได้แก่ 1.การรับรู้ และความเข้าใจ รวมถึงการยอมรับว่าการตรวจเอชไอวีเป็นเรื่องปกติธรรมดา เฉกเช่นการตรวจคัดกรองโรคอื่นๆ อาทิ การตรวจแมมโมแกรมเพื่อหามะเร็งเต้านม 2.การทำให้เกิดระบบบริการ หรือสถานพยาบาลที่เอื้อต่อการดูแลรักษาและป้องกันเอชไอวี 3.ความตระหนักรู้ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีของกลุ่มที่มีความเสี่ยง 4.การทำให้สังคมมีสิ่งแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย และ 5.อคติ และการตีตราในสังคมต่อผู้ที่ตรวจเอชไอวี และผู้ที่อยู่ร่วมกับเอชไอวี
“ทุกวันนี้ที่กลุ่มวัยรุ่นมีการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้ว่าถุงยางป้องกันได้ แต่วัยรุ่นมักประมาท คิดไม่ถึงว่าจะเกิดกับตัวเอง เลยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งไทยเราจะต้องสร้างความตระหนักรู้ให้เพิ่มขึ้น รวมถึงสังคมไทยควรทำให้การใช้ถุงยาง ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการป้องกันโรคต่างๆ ทางเพศสัมพันธ์ได้ให้เป็นเรื่องปกติ พร้อมกับทำให้หาได้ง่ายขึ้น เช่น มีตู้กดตามจุดต่างๆ หรือในห้องน้ำสาธารณะ” ศ. พญ.กุลกัญญา กล่าว