ผนังมดลูกบาง มีสาเหตุหลายประการ เช่น ความไม่สมดุลของฮอร์โมน ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบเรื้อรังหรือพังผืดในมดลูก ตลอดจนปัจจัยจากไลฟ์สไตล์ เช่น การสูบบุหรี่ ความเครียด และโภชนาการที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการกระตุ้นรังไข่ซ้ำหลายรอบก็อาจทำให้เยื่อบุโพรงมดบางได้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีรายงานวิจัยรายงานว่าอายุที่มากขึ้นยังส่งผลต่อทำให้ผนังมดลูกบางอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับรายงานวิจัยที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับ ปัจจัยที่มีผลต่อความหนาของเยื่อบุมดลูกในระหว่างการรักษาด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ตีพิมพ์ในวารสาร Fertility and sterility ปี 2007 เรื่อง Predicting factors for endometrial thickness during treatment with assisted reproductive technology พบว่า เยื่อบุมดลูกมีแนวโน้ม “บางลง” ตามอายุ โดยผู้หญิงอายุเกิน 40 ปีมีโอกาสที่เยื่อบุมดลูกหนาน้อยกว่าผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า อีกทั้งการมีเยื่อบุมดลูกที่หนาพอเหมาะมีความสัมพันธ์กับอัตราการตั้งครรภ์ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุมากกว่า 35 ปี
1.การบริโภคโปรตีนคุณภาพดี
ครูก้อย – นัชชา กล่าวเสริมว่า โภชนาการมีบทบาทสำคัญที่ส่งผลต่อความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูกโดยจากการศึกษางานวิจัยหลายฉบับพบว่า การบริโภคโปรตีนคุณภาพดี โปรตีนจากพืช หรือ เนื้อสัตว์ไม่ตัดมัน ไข่ ปลา ถั่ว และธัญพืช กรดไขมันไม่อิ่มตัว และรับประทานผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยมีรายการผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน American Journal of Clinical Nutrition ปี 2018 พบว่าผู้หญิงที่บริโภคปลามากขึ้นก่อนเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก มีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์กว่ากลุ่มที่รับประทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ประเภทอื่นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่งานวิจัยใน Fertility and Sterility ปี 2016 รายงานว่า การบริโภคธัญพืชเต็มเมล็ดมากกว่า 52 กรัมต่อวัน ช่วยเพิ่มอัตราการคลอดบุตร และการเพิ่มปริมาณธัญพืชเต็มเมล็ด 28 กรัมต่อวัน ยังสัมพันธ์กับการเพิ่มความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูกเฉลี่ย 0.4 มิลลิเมตร

2.เสริมวิตามินและแร่ธาตุ
การเสริมวิตามินและสารอาหาร เช่น โฟลิก , Coenzyme Q10 , มัลติวิตามิน และ Fish oil วิตามินอี และโอเมก้า-3 ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังมดลูก ช่วยลดค่าการอักเสบ รวมถึงอาจช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของผนังมดลูก
3.ออกกำลังกายเบาๆ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
การออกกำลังกายเบา ๆ เช่น โยคะ แอโรบิก หรือการเดินเร็ว ประมาณ 150 นาทีต่อสัปดาห์ สามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังอุ้งเชิงกราน ส่งผลให้มดลูกได้รับออกซิเจนและสารอาหารได้ดีขึ้น การไหลเวียนเลือดที่ดีขึ้นยังสามารถสนับสนุนความสมบูรณ์ของผนังมดลูกและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฝังตัวของตัวอ่อนได้
4.นอนหลับให้เพียงพอ 7–8 ชั่วโมง
การนอนหลับให้เพียงพอวันละ 7–8 ชั่วโมง ช่วยให้ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ทำงานสมดุล สนับสนุนการตกไข่และการฝังตัวของตัวอ่อน อีกทั้งยังลดความเครียด ควบคุมคอร์ติซอล เสริมภูมิคุ้มกัน และลดการอักเสบ ซึ่งล้วนส่งผลดีต่อโอกาสตั้งครรภ์ งานวิจัยใน BMC Women’s Health ปี 2024 เรื่อง “Sleep disturbances and female infertility: a systematic review” พบว่าผู้หญิงที่มีภาวะมีบุตรยากมักมีคุณภาพการนอนต่ำ นอนดึก และมีปัญหาการนอน ซึ่งสัมพันธ์กับผลการรักษาที่แย่ลง ทั้งจำนวนไข่ คุณภาพตัวอ่อน และอัตราการปฏิสนธิ
5.สมดุลจุลินทรีย์ในมดลูก
“สมดุลจุลินทรีย์ในมดลูก” (Endometrial Microbiome) ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมของมดลูกในการตั้งครรภ์ โดยจุลินทรีย์ที่อยู่ในภาวะสมดุลมีบทบาทช่วยรักษาสภาพแวดล้อมภายในมดลูกให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม ลดการอักเสบ ควบคุมเชื้อก่อโรค และปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้มดลูกเอื้อต่อการฝังตัวของตัวอ่อน ทั้งนี้มีรายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Assisted Reproduction and Genetics ปี 2019 ศึกษาพบว่าว่า ผู้หญิงที่มีจุลินทรีย์ชนิด Lactobacillus และ Bifidobacterium มากกว่า 80% ในเยื่อบุมดลูก มีอัตราการตั้งครรภ์จากการทำเด็กหลอดแก้ว สูงกว่ากลุ่มที่จุลินทรีย์ไม่สมดุลอย่างมีนัยสำคัญ
กล่าวโดยสรุป ภาวะผนังมดลูกบางเป็นปัจจัยที่ทำให้โอกาสการตั้งครรภ์ลดลงอย่างชัดเจน แต่การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ตั้งแต่โภชนาการที่ดี การพักผ่อน การออกกำลังกาย ไปจนถึงการเสริมวิตามินและการดูแลสมดุลจุลินทรีย์ภายใต้คำแนะนำแพทย์ สามารถช่วยเพิ่มความพร้อมของร่างกายและโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ หรือสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ติดตามความรู้เตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยากได้ที่
Facebook:
TikTok:
Line OA: (ปรึกษาครูก้อยและเคล็ดลับบำรุงเตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยาก)