มติชน-มูลนิธิเสริมกล้า-สกร. เปิดโครงการ Read for the Future
GH News October 03, 2025 09:04 AM

มติชน-มูลนิธิเสริมกล้า และ สกร. เปิดตัวโครงการ Read for the Future ส่งเสริมการอ่าน สร้างอนาคต หาหนังสือดีเข้าห้องสมุด กว่า 20 แห่งทั่วประเทศ

ที่ศูนย์การเรียนรู้วังจันทรเกษม กระทรวงศึกษาธิการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ มูลนิธิเสริมกล้า และกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) เปิดโครงการ Read for the Future ส่งเสริมการอ่าน สร้างอนาคตขึ้น โดยมี นายสมัชชา พรหมศิริ จากมูลนิธิเสริมกล้า ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดี สกร. นายวรศักดิ์ ประยูรศุข รองประธานบริษัท มติชน จำกัด และบรรณาธิการ กองบรรณาธิการประชาชาติธุรกิจ นายนฤตย์ เสกธีระ บรรณาธิการ กองบรรณาธิการมติชน ตัวแทนจากบริษัท มติชน จำกัด ผู้บริหาร สกร. ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด เข้าร่วม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโครงการ Read for the Future ส่งเสริมการอ่าน สร้างอนาคต เกิดขึ้นโดยเห็นว่าการอ่านเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะในทุกมิติ โดยมูลนิธิเสริมกล้า สกร. และเครือมติชนต่างเห็นความสำคัญของการส่งเสริมการอ่าน จึงร่วมมือกันเปิดโครงการนี้ขึ้น โดยมูลนิธิเสริมกล้า ได้สนับสนุนทุนประเดิม จำนวน 1 ล้านบาท เพื่อจัดหาหนังสือมอบให้ห้องสมุดประชาชนในสังกัด สกร. มีเป้าหมายมอบให้ 20 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2568 นี้

ทั้งนี้นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้มีส่วนสำคัญในการริเริ่มโครงการ ได้มีจดหมาย ในโอกาสเปิดตัวโครงการ ว่าการอ่านเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะในทุกมิติ ซึ่งสามารถต่อยอดสู่ การเรียนรู้ตลอดชีวิตและจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ

โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวิถีชีวิต ประชาชนทุกกลุ่มจึงจำเป็นต้องมีแหล่งเรียนรู้ที่เข้าถึงได้และตอบสนองต่อความต้องการเรียนรู้ในแต่ละช่วงวัยอย่างเหมาะสม การอ่านจึงมีความสำคัญต่อคนไทยทุกวัย

และหนังสือ เป็นประตูสู่ความรู้และแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ แต่ในหลายชุมชนยังคงเผชิญปัญหาการขาดแคลนหนังสือและแหล่งเรียนรู้ การที่เรามีห้องสมุดประชาชน จึงเปรียบเสมือนการสร้าง “พื้นที่ความเท่าเทียมทางความรู้” ให้คนในพื้นที่ ไม่ว่าสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมจะเป็นอย่างไร ทุกคนก็ยังสามารถเข้าถึงความรู้ได้โดยไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ในโลกดิจิทัลที่ข้อมูลหลั่งไหลอย่างรวดเร็ว ห้องสมุดไม่เพียงแต่เป็นแหล่งค้นคว้าความรู้ แต่ยังเป็นที่ที่ช่วยให้เรา ‘หยุดคิดอย่างมีระบบ’ ท่ามกลางกระแสข่าวสาร และเป็นพื้นที่ปลอดภัยของชุมชน ที่เด็กและเยาวชนสามารถใช้เวลาว่างอย่างสร้างสรรค์ ผู้สูงอายุสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และประชาชนทั่วไปสามารถใช้เป็นแหล่งพัฒนาทักษะเพื่อการทำงานและการประกอบอาชีพได้ เป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงผู้คนหลากหลายรุ่นให้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกัน สร้างคุณค่าให้กับตนเองและสังคม”

ที่สำคัญ ห้องสมุด คือการลงทุนเพื่ออนาคตเมื่อเราสร้างนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กและเยาวชนวันนี้ เรากำลังสร้าง “ทุนความรู้” ที่จะงอกเงยเป็นพลังของสังคมในวันข้างหน้า เด็กที่อ่านหนังสือหนึ่งเล่มในห้องสมุดวันนี้ อาจเติบโตไปเป็นผู้สร้างนวัตกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น หรือผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

คุณเศรษฐารู้สึกยินดีที่เห็นเครือข่ายภาครัฐและเอกชนมองเห็นความสำคัญของการสนับสนุนให้ห้องสมุดชุมชนมีทรัพยากรหนังสือที่เพียงพอ เพื่อสร้างรากฐานทางปัญญา ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนได้มี “พื้นที่” บนเส้นทางการเรียนรู้ตลอดชีวิต

โดยได้มูลนิธิเสริมกล้า ที่มีวัตถุประสงค์พัฒนาเด็ก และเยาวชนมาหลายปีจนเป็นที่ประจักษ์ ได้อาสาเข้ามาเสริมกำลัง ผนึกกับบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และ สกร. ที่มีทั้งสถานที่ กำลังคน และวิธีการส่งเสริมการอ่าน อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกันจัดทำโครงการ Read for the Future ส่งเสริมการอ่าน สร้างอนาคตนี้ขึ้นมา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะสามารถผลักดันให้ทุกคนหันมาอ่านหนังสือ และเสริมสร้างวินัยรักการอ่าน รวมทั้งสามารถนำความรู้ที่ไปพัฒนาต่อยอดในการดำเนินชีวิตในด้านต่าง ๆ ของตนเองได้

จากนั้นได้มีการเสวนา ขับเคลื่อน “การอ่านเพื่ออนาคต” โดย ดร.เกศทิพย์ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญของการส่งเสริมการเรียนรู้ต้องเริ่มจากการอ่าน ซึ่งโอกาสที่ได้รับจากโครงการนี้เป็นเสมือนบันไดที่เข้มแข็งนำไปสู่การสร้างความรู้ ที่จะสามารถขยายผลส่งเสริมการเรียนรู้ไปได้ในทุกครัวเรือน และคิดว่าผู้ปกครองทุกคนจะเลือกสิ่งที่ที่ดีที่สุดมาอ่านให้ทุก ๆ ได้อ่าน โดยส่วนตัว ที่บ้านจะเริ่มจากการอ่านหนังสือพิมพ์และการอ่านข่าวสารในทุก ๆ วัน ทำให้เรารู้ว่าสังคมเป็นอย่างไร เมื่อโตขึ้นมาเนื่องจากไม่ได้อยู่ในความพร้อม ในลักษณะที่มีหนังสือมากมาย แต่การอ่านหนังสือพิมพ์ก็ทำให้รู้สึกถึงการติดกลิ่นไอของหนังสือ

แม้ว่าตอนนี้จะมีสื่อดิจิทัล มีแท็บเลต หรือเอไอเข้ามา แต่ก็ยังรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถมาแทนที่หนังสือได้ เพราะส่วนตัวชอบบรรยากาศของห้องสมุดตั้งแต่สมัยเรียนระดับมัธยมศึกษา จนเรียนจบปริญญาเอก สิ่งที่ต้องมีติดรถไว้ก็คือหนังสือทำให้ได้รู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่เราอยู่ในความสงบนิ่ง และหากอยากรู้เรื่องใดก็จะนำมาสู่การอ่านครั้งแรกอาจทำให้รู้แบบผิวเผิน อ่านครั้งที่สองทำให้รู้ลึกซึ้งขึ้น และเมื่ออ่านครั้งที่สามทำให้รู้แนวทางการนำไปใช้

สอดคล้องกับโครงการ Read for the Future ที่ทำให้เห็นชัดเจนว่าการอ่านนำไปสู่อนาคตอย่างแท้จริง เพราะเริ่มจากตนเอง ที่สำคัญในการอ่านแต่ละครั้งจะเสริมความเข้าใจและความลึกซึ้ง ที่แตกต่างกันไป

ดร.เกศทิพย์ กล่าวต่อว่า โครงการนี้ตรงกับสิ่งที่ สกร.มุ่งหวังว่าการนำองค์ความรู้ต่าง ๆ เข้าสู่ครัวเรือนเป็นพื้นฐานของความมั่นคง สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้องค์ความรู้เหล่านี้เกิดขึ้นได้ก็คือห้องสมุด และโครงการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะมีหนังสือเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดไปสู่สิ่งต่าง ๆ เช่น ในมิติของเยาวชนการอ่านจะทำให้เกิดการเขียนและการเขียนก็จะสะท้อนสิ่งที่เด็กถนัดหรือสนใจออกมา นำไปสู่อนาคตได้จริง ฉะนั้นถ้ามีโอกาสที่จะได้รับความหลากหลายของการอ่านจากห้องสมุดที่มีอยู่ทุกที่ของ สกร.และมีความพร้อมของทรัพยากรหนังสือก็จะสร้างให้ห้องสมุดกลายเป็นที่ประจำสำหรับประชาชนทุกคนและเกิดการต่อยอดสู่อนาคตอย่างแท้จริงต่อไป

“บรรยากาศของห้องสมุดยังทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อผลเสียของโซเชียลมีเดีย และทำให้เกิดการเรียนรู้ภายใต้ความสงบนิ่ง ฉะนั้นสิ่งที่ สกร.จะสานต่อจากโครงการนี้คือการมุ่งเน้นให้ทุกครัวเรือนได้มีอนาคตจากการอ่านหนังสือ และ สกร.พร้อมรับหนังสือที่มีความหลากหลายจากทุกที่เพราะมีห้องสมุดทั่วประเทศเพียงพอที่จะรองรับ รวมไปถึงยังมี สกร.ที่ทำให้เกิดองค์ประกอบของทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ ซึ่งโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่จุดเน้นของ สกร.ที่อยากจะทำให้ สกร.ไปอยู่ในใจของประชาชนทุกคน” ดร.เกศทิพย์ กล่าว

นายสมัชชากล่าวว่า จุดประสงค์ของมูลนิธิคือการสนับสนุนและสร้างโอกาสให้เด็กตามชื่อของมูลนิธิว่าเสริมกล้า ซึ่งหมายถึงเสริมพลังให้กับต้นกล้าเล็ก ๆ ในสังคมให้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและเป็นประชากรที่มีคุณภาพของประเทศไทย ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2554 ที่มูลนิธิได้ดำเนินการสนับสนุนเยาวชนมาโดยตลอดก็ได้มีโอกาสสัมผัสเรื่องของเยาวชนในหลาย ๆ แง่มุม

ซึ่งในการให้ทุนการศึกษาก็จะเห็นว่าเด็ก ๆ ที่ขอทุนเข้ามามีความตั้งใจในการศึกษาและในจดหมายเหล่านั้นก็มีการเขียนถึงการอ่านหนังสือ ทำให้รู้สึกว่าการอ่านเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ที่ในยุคปัจจุบันมีอุปสรรคที่เกิดจากเทคโนโลยีหลายอย่างที่ทำให้เด็กอ่านหนังสือน้อยลง ตนมองว่าหน้ากระดาษหนังสือจะทำให้เด็กได้ซึมซับเนื้อหามากกว่าหน้าจอแท็บเลตที่สามารถไถข้ามเนื้อหาไปได้ และเป็นการฝึกความอดทนของเด็กด้วยเช่นกัน

“หนังสือเป็นสื่อสำคัญที่ทำให้เด็กใช้ชีวิตได้ช้าลงในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ข่าวสารต่าง ๆ ที่ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดต่างถูกนำมาสู่เด็กอย่างรวดเร็ว แต่หน้ากระดาษหนังสือ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์ พ็อกเกตบุ๊กต่าง ๆ ทำให้เด็กได้มีเวลาในการไตร่ตรองเนื้อหาที่อยู่ในหน้ากระดาษไม่ใช่เชื่อทุกอย่างจากผู้คนในสื่อออนไลน์เพียงอย่างเดียว อีกสิ่งที่สำคัญคือห้องสมุดชุมชนที่ทางมูลนิธิอยากจะเห็นห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือที่มีคุณภาพและมีบรรยากาศที่ประชาชนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ใช้งานร่วมกัน เป็นอีกสภาพแวดล้อม ที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเด็กและผู้ใหญ่” นายสมัชชากล่าว

นายสมัชชากล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่าการมอบหนังสือทั้งหมดให้ห้องสมุด 20 แห่งในครั้งนี้ จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น โครงการในครั้งนี้จะเป็นการนำร่องและกรณีศึกษา ที่จะทำให้ผู้ที่ภาคเอกชน และผู้สนใจ เข้ามาสนับสนุนโครงการดี ๆ แบบนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะด้วยศักยภาพของมูลนิธิเสริมกล้าก็อาจจะสนับสนุนได้ในระดับหนึ่ง แต่อยากเป็นแรงผลักดันให้สังคมและทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของหนังสือที่จะเข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและเยาวชน ดังนั้นสิ่งที่คาดหวังไว้ คือการที่มีผู้สนับสนุนรายอื่น ๆ ได้เข้ามาช่วยเหลือจนสามารถทำให้มีหนังสือคุณภาพอยู่ในห้องสมุดชุมชนทุกแห่งของประเทศไทยได้

นายนฤตย์กล่าวว่า ในมุมมองของมติชนให้ความสำคัญกับการอ่าน เพราะว่า มติชนเป็นบริษัทที่ทำสื่อสิ่งพิมพ์ และการให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชน หากเปรียบคนเป็นคอมพิวเตอร์ การอ่านก็เปรียบเสมือนการนำข้อมูลเข้าไปในคอมพิวเตอร์ คือทุกอย่างที่เราจะกระทำออกมา จุดเริ่มต้นจากเกิดจากข้อมูลที่ถูกถ่ายทอดเข้าสู่ตัวเรา เห็นได้จากผู้นำและตัวแทนในแต่ละประเทศที่สามารถพูดหรือวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างคมคาย ส่วนหนึ่งเกิดจากการสั่งสมถ้อยคำจากการอ่าน เวลาที่นำถ้อยคำมาใช้จึงถูกต้องตามกาลเทศะ

“ข้อดีอีกเรื่องของการอ่านคือเป็นการซึมซับประสบการณ์ของผู้เขียน หนังสือแต่ละเล่มอาจเกิดจากการรวบรวมประสบการณ์ของผู้เขียนที่ใช้เวลานานหลายปี แต่การอ่านเพียงไม่กี่วัน จะทำให้เราได้รับความรู้ ที่ผู้เขียนสั่งสมมาทั้งหมด สามารถนำไปต่อยอดที่สำคัญ การอ่านยังเป็นเพื่อนได้ เวลาที่ไร้ทางออกเราสามารถหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเพื่อหาทางแก้ไข หรือกระทั่งเวลาที่เรารู้สึกว่าไม่รู้จะทำอะไรก็มีหนังสือหลายประเภทที่สามารถนำมาเป็นคู่มือการประกอบอาชีพ ฉะนั้นการอ่านจึงมีความสำคัญ” นายนฤตย์กล่าว

นายนฤตย์กล่าวต่อว่า ส่วนอุปสรรคของการอ่านข้อแรกก็ต้องดูว่าในตอนนี้คนไทยสามารถอ่านได้น้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ตอนนี้คนไทยอ่านหนังสือได้มากขึ้นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ข้อที่สองคือคนไทยสนใจการอ่านหรือไม่ ฉะนั้นต้องส่งเสริมการอ่านให้กับคนไทยเพื่อให้เกิดความสนใจ และข้อสุดท้ายคือผู้ที่สนใจการอ่านมีหนังสืออ่านหรือไม่ ดังนั้น โครงการนี้จึงตอบโจทย์ให้สามารถผ่านทั้ง 3 อุปสรรคนี้ไปได้ ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.