พายุบัวลอยทำน้ำเหนือทะลักหนัก กรมชลฯแจ้งเตือน 11 จังหวัดรับมือระบายน้ำในเขื่อนเพิ่มจาก 2,500 เป็น 2,700 ลบ.ม./วินาที ชาวบ้านอยุธยาสุดทน ชุมนุมเรียกร้องให้เปิดประตูระบายน้ำ โวยทำน้ำท่วม
กรมชลประทานส่งหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2568 เรื่องแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาฉบับที่ 8 ระบุว่า จากอิทธิพลของพายุ “บัวลอย” วันที่ 30 กันยายน 2568 ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง และจากการคาดการณ์ปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C.2 จังหวัดนครสวรรค์ เพิ่มขึ้นในเกณฑ์ 2,700-2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในช่วงวันที่ 1-9 ตุลาคม 2568 โดยส่งผลให้มีปริมาณน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นตามลำดับ
โดยวันที่ 2 ตุลาคม 2568 เวลา 06.00 น. ตรวจวัดปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C.2 จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,713 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สมทบกับปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังและลำน้ำสาขาอีกประมาณ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ระดับ +16.30 เมตรเทียบระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ระดับท้าย +15.47 ม.รทก. ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 2,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C.2 จังหวัดนครสวรรค์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ 2,700-2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
และคาดการณ์ว่าแม่น้ำสะแกกรังปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ Ct.19 จังหวัดอุทัยธานี และลำน้ำสาขารวมอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 180 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยใช้พื้นที่ว่างเหนือเขื่อนเจ้าพระยาชะลอน้ำไว้ รวมทั้งตัดยอดน้ำเข้าพื้นที่ลุ่มต่ำทั้งสองฝั่ง แต่เนื่องจากพื้นที่ชลประทานของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างยังคงมีฝนตกเต็มพื้นที่เช่นกัน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีที่ยังเก็บเกี่ยวไม่แล้วเสร็จ จึงแบ่งรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งสองฝั่งรวมจำนวน 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น ประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติอนุญาตให้กรมชลประทานปรับเพิ่มปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จากเดิมไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็นไม่เกิน 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แบบขั้นบันได ทั้งนี้ หากมีปริมาณน้ำเหนือเพิ่มขึ้นที่จะส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยามากกว่า 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จะแจ้งให้ทราบต่อไป พร้อมทั้งบริหารจัดการน้ำและควบคุมปริมาณการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ให้อยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวอย่างเต็มศักยภาพของพื้นที่ เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนและพื้นที่การเกษตร
โดยปริมาณน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ระดับน้ำตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 0.30-0.40 เมตร โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ ได้แก่ 1.คลองโผงเผง จ.อ่างทอง, คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา, ต.หัวเวียง อ.เสนา, ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย) 2.วัดสิงห์ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี 3.อ.เมือง จ.สิงห์บุรี 4.อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี 5.วัดไชโย อ.ไชโย จ.อ่างทอง 6.ต.โพนางดำ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท
7.วัดเสือข้าม อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี 8.อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง 9.บ้านท่าทราย อ.สรรพยา จ.ชัยนาท 10.ต.อินทร์บุรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี 11.ต.เทวราช อ.ไชโย จ.อ่างทอง ซึ่งกรมชลประทานจะบริหารจัดการน้ำ และควบคุมปริมาณการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวอย่างเต็มศักยภาพ
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำ กรมชลประทานได้แจ้งเตือน 11 จังหวัดในลุ่มน้ำเจ้าพระยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกาศประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริษัท ห้างร้าน ที่ประกอบกิจการในแม่น้ำเจ้าพระยา อาทิ งานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง แพร้านอาหาร เป็นต้น รวมทั้งประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย ขอให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นายชัยกฤต พุ่มเข็ม ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ยังมั่นใจการบริหารจัดการน้ำของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในพระนครศรีอยุธยา เหมือนปี 2554 โดยเฉพาะนิคมบางปะอินแจ้งว่า ปี 2565 มีปริมาณน้ำถึง 4,000 ลบ.ม./วินาที ยังรับมือได้ สิ่งที่กังวลมากกว่าคือ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ที่มีการระบายน้ำมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อการเดินเรือบรรทุกสินค้า ส่วนคลังสินค้าริมน้ำส่วนใหญ่ช่วงนี้ไม่มีสินค้าอยู่ จึงไม่กังวลเรื่องน้ำล้นตลิ่งมากนัก แต่ได้ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด
รายงานข่าวจากพระนครศรีอยุธยาแจ้งว่า ชาวบ้านบริเวณวัดไชยวัฒนาราม ได้มีการชุมนุมเรียกร้องให้กรมชลฯเปิดประตูระบายน้ำ โดยระบุว่าการปิดประตูส่งผลให้น้ำท่วม