นักวิชาการ ขยี้ปม ทรัมป์ วืดโนเบล มีน ใช้ทหารสู่สันติภาพ ขู่ไว้ก่อน แก้ทีหลัง ดัน อเมริกาเฟิร์สทะยาน
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น LG ฮอลล์ 5–8 ภายในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ (BOOK EXPO THAILAND 2025) ครั้งที่ 30 ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ภายใต้ธีม “Melody of Books – อ่านหรือยัง ฟังหรือเปล่า” งานซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9–19 ตุลาคมนี้ เดินทางเข้าสู่วันที่ 5
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศในช่วงบ่ายที่บูธสำนักพิมพ์มติชน J02 ใกล้ประตูฮอลล์ 6 ซึ่งมีผู้เข้าเลือกซื้อหนังสืออย่างคับคั่ง โดยเมื่อเวลาราว 15.00 น. ผศ.ดร. ประพีร์ อภิชาติสกล อาจารย์ประจำหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้เขียนหนังสือ “Trump 2.0 ระเบียบโลกใหม่ยุค America First” ของ สำนักพิมพ์มติชน เดินทางมาแจกลายเซ็น โดยมีผู้ให้ความสนใจซื้อหนังสือเข้าพูดคุยและขอลายเซ็นเป็นจำนวนมาก
จากนั้น เมื่อเวลาราว 16.00 น. ผศ.ดร.ประพีร์ ขี้นเวที Author’s Author’s Salon ที่ บูธ A02 เพื่อเสวนาในหัวข้อ “Trump 2.0 ระเบียบโลกใหม่ยุค America First” ดำเนินรายการโดย ดร. ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
ในการนี้ ผู้บริหารในเครือมติชน ร่วมรับฟังเสวนา นำโดย น.ส.ปานบัว บุนปาน ประธานกรรมการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), นายปราปต์ บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บมจ. มติชน และนายสุพัด ทีปะลา บรรณาธิการบริหาร กอง บก. มติชน
นอกจากนี้ นักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้เขี่ยวชาญด้านอเมริกาศึกษา และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ร่วมรับฟัง อาทิ ศ.ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์, ผศ. อัครพงษ์ ค่ำคูณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์ และนายคุณากร วาณิชย์วิรุฬห์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์โลก ผู้แปล Culture ประวัติศาสตร์ “ครีเอทีฟ” ฉบับวัฒนธรรมมนุษย์ รวมถึง นายประดาป พิบูลสงคราม” ประธานกรรมการมูลนิธิจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ แห่งประเทศไทย เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงต้นของการเสวนา ได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.วิวัฒน์ มุ่งการดี อดีตรองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และผู้เขียนคำนิยมหนังสือ หนังสือ “Trump 2.0 ระเบียบโลกใหม่ยุค America First” ขึ้นกล่าวบนเวที
รศ.ดร.วิวัฒน์ กล่าวว่า สิ่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าว มีทั้งแนวความคิดเก่า และแนวความคิดใหม่ บางครั้งแข็งกร้าว แต่สุดท้ายต้องผ่อนปรนในภายหลัง อีกทั้งยังมีความขัดแย้งกันเอง
“ทรัมป์ เพิ่งมาเป็นประธานาธิบดี แต่พูดอะไรเยอะแยะไปหมด มีทั้งแนวความคิดเก่า และแนวความคิดใหม่ บางทีแข็งกร้าว แต่ก็ต้องผ่อนปรนทีหลัง ต้องเปลี่ยนประเด็นตลอด เพราะเน้นขู่ไว้ก่อน แล้วแก้ปัญหาทีหลัง นอกจากนี้ เวลาพูดอะไร มักขัดแย้งกันเอง ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ไม่ดี แต่เป็นนโยบายต่างประเทศของหลายๆ ประเทศ ประเทศหนึ่งวางนโยบายอย่างหนึ่ง อีกประเทศหนึ่ง วางนโยบายอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นความขัดแย้งในตัวเองอยู่แล้ว แต่ในสมัยทรัมป์ รู้สึกว่าความขัดแย้งในตัวเองจะมากหน่อย
เช่น เรื่องอเมริกาเป็น Isolationist คือ อเมริกา เฟิร์ส หรือ Make America Great Again มีพื้นฐานมาจาก อเมริกา ต้องปลีกตัวจากโลก มาดูแลตัวเอง หาผลประโยชน์ให้ตัวเองมากที่สุด ซึ่งเป็นนโยบายเก่าแก่ ขณะเดียวกัน ก็มีลักษณะเป็น Imperalism คือ ขยายอาณาเขต
เขาพูดว่าจะเอาแคนาดา จะจัดการกับคลองปานามา ต่างๆ เหล่านี้ เป็นลักษณะของจักรวรรดินิยมชนิดหนึ่ง” รศ.ดร. วิวัฒน์ กล่าว
รศ.ดร. วิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า อีกประการหนึ่งคือ ทรัมป์ไม่ค่อยเลือกหน้า ระหว่างมิตรและศัตรู ซึ่งทำให้เสียคะแนนไปเยอะ
“เวลาขึ้นภาษีเท่ากันไปหมด ขึ้นภาษีสูง สุดท้ายก็ต้องปรับ เพราะเท่ากับทิ้งเพื่อน ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นเพื่อนเขา แต่เขาทำเหมือนกันหมด คิดภาษีเหมือนกันหมด แต่ในที่สุดเขาก็ต้องปรับ ไม่อย่างนี้จะเสียพรรคพวกไปหมด
ประการสุดท้ายที่น่าจะพูดถึง คือ การสร้างสันติภาพ เรื่องรางวัลโนเบล ที่ทรัมป์พูดออกมาเลย การจะสร้างสันติภาพ คนอาจพูดถึงการทูต แต่ทรัมป์ใช้การทหารเพื่อไปสู่สันติภาพ เพราะฉะนั้น มันมีความขัดแย้งในตัวเอง เช่น ปล่อยให้อิสราเอลบุกปาเลสไตน์ ในยูเครนก็เช่นกัน” รศ.ดร.วิวัฒน์ กล่าว
ด้าน ผศ.ดร. ประพีร์ กล่าวว่า ทรัมป์ เคลมว่าตัวเองยุติ 7 สงครามใน 7 เดือนแต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ
“คำว่า peace (สันติภาพ) จริงๆต้อง no war ไม่มีสงคราม ไม่มีความรุนแรง แต่ peace ของทรัมป์ สิ่งที่ทรัมป์ทำมาตลอด จะเห็นได้ว่า กรณีอิสราเอล กับอิหร่าน ทรัมป์ใช้การยิงถล่ม แล้วจะเรียกว่าสันติภาพได้อย่างไร
แล้วที่บอกว่า ทำให้สงครามสิ้นสุดลง เอาจริงๆ ม้นต้องไม่มีเหตุการณ์อะไรต่อเนื่อง แต่สิ่งที่เขาทำ แม้แต่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เขาทำให้หยุดยิงได้ แต่ความขัดแย้งที่ลึกลงไปจากนั้น เขายังไม่ได้เข้าไปแก้ไขปัญหา อะไรเลย เพียงแต่ทำให้หยุดไว้ขณะหนึ่งเท่านั้น” ผศ.ดร.ประพีร์ กล่าว
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามถึง การทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ที่สุด มีอำนาจที่สุด เป็นการป้องปรามไม่ให้ประเทศเล็กๆ ขึ้นมาสร้างความวุ่นวาย จึงเกิดสันติภาพได้หรือไม่ ?
ผศ.ดร. ประพีร์ ตอบว่า แนวคิดนี้ มีมาตั้งแต่สมัยจอร์จ วอชิงตัน ที่บอกว่า ถ้าจะทำให้สันติภาพมีได้ คุณก็ต้องเข้มแข็งด้วย เพราะฉะนั้น นี่เหมือนแนวความคิดดั้งเดิมจริงๆ แต่ถามว่า เรื่องของสันติภาพนี้ สิ่งที่ทรัมป์ทำขึ้นมา ตนยังมองไม่เห็นว่าจะทำให้เกิดสันติภาพระยะยาว หรือยั่งยืนจริงๆ อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้เคยมีมาอยู่แล้ว แม้แต่ยุคของ โรนัลด์ เรแกน
“สำหรับ อเมริกา เฟิร์ส ถูกนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ ไม่อยากให้สหรัฐเข้าไปข้องเกี่ยวกับสงคราม และนานาชาติทั้งหลาย นี่คือความหมายดั้งเดิม แต่ในตอนหลัง อย่างของทรัมป์ นำมาปรับเชื่อมโยง โดยนำคำนี้ลงไปในนโยบายต่างประเทศ นโยบายเศรษฐกิจ รวมถึงความมั่นคง และออกไปในเชิงประชานิยมด้วย
เขาเก่งมากในการที่จะเอาตรงนี้มาขาย และขณะเดียวกันก็เป็นเวลาที่เหมาะสมมาก เพราะสถานการณ์ในอเมริกาตั้งแต่ปี 2016 และ 2024
ปัญหาสำคัญ คือ ปากท้อง เลยทำให้ขายได้มากกว่าเรืองสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย ความเท่าเทียมที่เดโมแครตพยายามขาย ตรงนี้ คือการปลุกให้คนอเมริกันออกมาเลือกเขา เป็นสิ่งที่ทรัมป์ทำแล้วโดนใจคนจริงๆ” ผศ.ดร. ประพีร์ กล่าว