ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและแรงกดดันจากหลายด้าน วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กลายเป็นบุคคลสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการเงินของประเทศ ด้วยประสบการณ์ทั้งในภาครัฐและการเงิน ทำให้ได้รับการคาดหวังว่าจะสามารถรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางวิกฤตความเชื่อมั่น ค่าเงินบาทผันผวน อัตราเงินเฟ้อและภาวะดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำติดต่อกันเป็นเวลานาน
บทบาทของ ธปท. ภายใต้การนำของ วิทัย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การดูแลเงินเฟ้อและค่าเงินบาทเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน และการประคับประคองเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 ความท้าทายสำคัญ คือ การใช้ นโยบายการเงิน อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ขอบเขตการดำเนินนโยบายการคลังยังมีข้อจำกัดสูง บทบาทของ วิทัย จึงเปรียบเสมือน ‘คนคุมพวงมาลัย’ ที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการควบคุมเสถียรภาพการเงิน
อย่างไรก็ตาม อาจปฏิเสธไม่ได้ว่าบทบาทของผู้ว่าการธนาคารกลางอาจไม่พ้นจากการถูกจับตาจาก แรงกดดันทางการเมือง โดยเฉพาะเมื่อทิศทางนโยบายการเงินมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นอีกเครื่องมือในการช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในมิติของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อหวังผลในทางบริโภค ขณะที่บทบาทของการเป็นธนาคารกลางเองก็ยังจำเป็นต้อง รักษาจุดยืน เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจระยะยาวด้วย
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เริ่มกระบวนการคัดเลือกตำแหน่ง ‘ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย’ ในช่วงที่ผ่านมา วิทัย ยืนยันตัวตนอย่างชัดเจนมาโดยตลอดว่า สามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระบนหลักการ และยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ปราศจากอำนาจครอบงำจากกลุ่มใด ๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งจำเป็น และขอยืนยันในจุดยืนที่มั่นคง!!
จนกระทั่งการเข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ซึ่ง วิทัย ได้วางแนวทาง และทิศทางนโยบายสำคัญในการทำงานของ ธปท. ที่จะยังคงสานต่อพันธกิจหลักของธนาคารกลาง นั่นคือ ‘การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว’ ผ่าน 3 เรื่องหลักที่สำคัญ ได้แก่ 1. เสถียรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะดูแลให้เงินเฟ้อในระยะปานกลางอยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน (low and stable) รวมถึงไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด และให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลาง
2. เสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินเข้มแข็ง มีความมั่นคง สามารถให้บริการลูกหนี้ ประชาชนและธุรกิจได้ต่อเนื่อง และดูแลไม่ให้เกิดจุดเปราะบางในระบบการเงินที่อาจลุกลามกลายเป็นวิกฤติในอนาคต 3. เสถียรภาพระบบการชำระเงิน ดูแลให้ระบบมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชน ธุรกิจ และภาครัฐ ทั้งด้านความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และด้วยราคาที่สมเหตุสมผล
“ธปท. ยังคงยืนยันที่จะยึดมั่นในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจระดับมหภาค ดูแลให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพ สถาบันการเงินมีความเข้มแข็ง และระบบการชำระเงินมีประสิทธิภาพและมีเสถียรภาพ ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่หลักของ ธปท. ดังนั้นผมจึงขอยืนยันอีกครั้งว่า เราพร้อมที่จะทำหน้าที่ตามภารกิจหลัก นั่นคือ การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคเหมือนเดิม”
นอกจากนี้ ธปท. จะดำเนินนโยบายด้วย ‘ความเป็นอิสระ’ ภายใต้กรอบกฎหมาย โดยมีหลายเรื่องที่ต้องทำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนมากขึ้น เพื่อผลักดันนโยบาย ตลอดจนจะเน้นประสานนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง (policy coordination) เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ รวมทั้งเอื้อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่จับต้องได้ ซึ่งจะช่วยกระดับศักยภาพของประเทศ
วิทัย ยืนยันอีกครั้งว่า ธปท. จะยังมีอิสระ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก โดยอิสระจากการถูกกดดันทางการเมือง และอิสระจากการตัดสินใจ 2 เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ ธปท. ยืนหยัดอย่างแข็งแรงมาโดยตลอด พร้อมทั้งอธิบายเพิ่มว่า คำว่า ‘อิสระ’ นี้ ไม่ใช่ ธปท. ทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นไม่ได้ ในทางกลับกัน ธปท. ยินดีที่จะทำงานร่วมไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง รัฐบาล หรือทุกหน่วยงาน เพื่อประสานความร่วมือในการประครองเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาสู่จุดสมดุล สามารถเติบโตได้ในระดับที่มุ่งสู่ศักยภาพ โดยนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังที่จะออกมาจะต้องสอดคล้องกันเพื่อรองรับจุดนี้
สำหรับทิศทางนโยบายสำคัญของ ธปท. (policy priorities) ในระยะต่อไปนั้น วิทัย ฉายภาพให้เห็นว่า จะมีทั้งการสานต่อแนวนโยบายการพัฒนาภาคการเงิน โดยเฉพาะการวางรากฐานให้ภาคการเงินพร้อมรองรับกับกระแสโลกใหม่ ทั้งด้านดิจิทัล และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (financial landscape) เช่น โครงการ Your Data การพัฒนาระบบ digital payment ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ยืดหยุ่น และสนับสนุนให้ภาคเศรษฐกิจจริงเข้าถึงบริการทางการเงินที่ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการจัดตั้งธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank)
“โครงการเดิม ๆ ที่มีประโยชน์จะยังเดินหน้าต่อไป เหล่านี้ไม่มีอะไรเสียหาย Virtual Bank ก็จะทำต่อ เพราะเป็นโครงการที่เชื่อว่าจะช่วยให้คนเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น หลายโครงการยังอยู่ในระยะเริ่มต้น หากพิจารณาแล้วว่าดีก็อาจจะนำมาปรับให้เข้ากับสถานการณ์และเดินหน้ากันต่อไป ที่สำคัญคือ ต้องทำให้เสร็จและเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) ก็ต้องทำให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งมีหลักในการคิดอัตราดอกเบี้ยตามระดับความเสี่ยง ตรงนี้จะต้องเร่งผลักดันออกมาและทำให้ประสบความสำเร็จ” วิทัย ระบุ
นอกจากนี้ การทำงานของ ธปท. จะใกล้ชิดกับประชาชนและสังคมมากขึ้น ผ่านการรับฟังมุมมองหรือข้อเรียกร้องจากสังคมให้รอบด้าน เพื่อประกอบการตัดสินนโยบายและสื่อสารให้เข้าถึงประชาชนมากยิ่งขึ้น ตลอดจนจะมีแนวนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น การแก้หนี้เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง การเพิ่มโอกาสให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อในระบบด้วยต้นทุนที่เหมาะสม ผ่านกลไกการค้ำประกันเครดิตที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นขึ้น รวมทั้งกลไกกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สมดุลกับความเสี่ยงของผู้กู้ (Risk-Based Pricing : RBP) ตลอดจนการทบทวนค่าธรรมเนียมของบริการทางการเงินให้เหมาะสม และเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น (fair pricing)
โดย วิทัย ระบุว่า ในยุคนี้การจะดำเนินมาตรการอะไร จะกำกับดูแลสถาบันการเงินอย่างไร และจะออกนโยบายอะไรนั้น ท้ายที่สุดจะต้องตอบให้ได้ว่า ‘ประเทศ สังคม และประชาชน’ จะได้อะไร ถ้าธนาคารกลางมัวแต่รักษาเสถียรภาพเพียงอย่างเดียว แล้วประเทศและประชาชนไม่ได้อะไร สุดท้ายก็ไม่อาจทำให้บรรลุผลและเป้าหมายอย่างแท้จริงได้
นั่นหมายถึง การทำงานของ ธปท. จากนี้ ต้องดูแลประชาชนควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพด้วย แปลว่า ธปท. จะออกมาตรการอะไร จะต้องเข้าใจปัญหาที่แท้จริงของสังคม และเศรษฐกิจ นโยบายหรือมาตรการเดิมที่เคยทำมา ก็อาจจะต้องมีการปรับหรือเสริมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะต้องเข้าใจสภาพแวดล้อมและปัญหานั้น ๆ ต้องอยู่ใกล้ชิดปัญหา สังคม และประชาชน ดังนั้น มาตรการที่จะออกมาเพื่อช่วยเหลือหลังจากนี้ จึงจะต้องพิจารณาให้แน่ใจแล้วว่าจะสามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหา ช่วยประชาชนได้ ภายใต้หลักการที่ธนาคารกลางยึดมั่น นั่นคือ ‘การดูแลสเถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค’
“เวลาจะออกมาตรการอะไรหลังจากนี้ มองว่า ควรจะเป็นมาตรการที่เฉพาะจุด มีความเจาะจงมากขึ้น เพราะผลลัพธ์ที่มาจากการออกมาตรการเฉพาะจุด เช่นยุคก่อนหน้าอย่างโครงการคุณสู้ เราช่วย สะท้อนชัดเจนว่าสามารถช่วยคนได้เยอะ ดังนั้นหลังจากนี้การพิจารณามาตรการช่วยเหลือแบบเฉพาะจุดจะเข้ามามีบทบาทสำคัญเพื่อเสริมกับนโยบายการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่เป็นเรื่องของภาพกว้าง มาตรการเฉพาะจุดจะเข้าไปช่วยเสริมในส่วนเหล่านี้มากขึ้น เช่น การแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน ที่จะเริ่มจากการตั้งบริษัทจัดการสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) รับซื้อหนี้เสียที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อรายมาบริหารจัดการ ซึ่งในส่วนนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล กระทรวงการคลัง สถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้นเราวางเป้าหมายจะช่วยลูกหนี้กลุ่มนี้ได้ราว 2 ล้านรายก่อน ส่วนกระบวนการและขั้นตอนทั้งหมดยังอยู่ระหว่างการหารือในรายละเอียด” วิทัย กล่าว
มาตรการอย่างนี้เรียก ‘มาตรการเฉพาะจุด’ ที่ ธปท.วางแผนว่าจะเป็นส่วนเสริมเข้าไปกับมาตรการในภาพใหญ่ในส่วนต่าง ๆ ทั้งการดึงคนเข้าระบบสินเชื่อ จะวางกลไกอย่างไรเพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบได้ง่ายขึ้น มาตรการที่จะเข้าไปช่วยเหลือในการเติมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มาตรการที่จะช่วยทำให้ต้นทุนการใช้บริการทางการเงินมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น เหล่านี้คือมาตรการเสริมเฉพาะจุดที่จะทำควบคู่ไปกับนโยบายการเงินในภาพกว้าง และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า มาตรการที่เป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ เหล่านี้ จะมีส่วนอย่างมากในการช่วยเหลือประชาชนได้เพิ่มขึ้น จะเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างดีขึ้น มาตรการเหล่านี้จะก่อให้เกิดผล จะสร้าง Impact ได้อย่างมาก และ ธปท. วางเป้าหมายว่าอยากจะทำมาตรการที่เฉพาะจุดแบบนี้ให้มากขึ้น เยอะขึ้น และต่อเนื่องมากขึ้น
โดยการออกมาตรการไม่ว่าจะเป็นแบบเฉพาะจุด หรือนโยบายการเงินในภาพใหญ่ จะเดินหน้าควบคู่ไปกับ ‘การให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน’ วิทัย ระบุว่า เรื่องนี้เหมือนเป็นแนวคิด (concept) ที่ทุกฝ่ายพยายามทำมาโดยตลอด แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะยังไม่เกินผลที่ชัดเจนมากนักในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีเจ้าภาพร่วมจากหลายหน่วยงานแต่ก็ยังไม่เห็นถึงผลสำเร็จที่จับต้องได้มากนัก ดังนั้นเรื่องนี้จึงจะยังคงเป็นสิ่งที่ ธปท. ให้ความสำคัญและพร้อมจะร่วมกับหลายหน่วยงานเพื่อเข้าไปดำเนินการอย่างเข้มข้นและจริงจังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณ ที่สืบเนื่องมาจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทย หรือการสอนให้ยาวชนเริ่มรู้จักการออมตั้งแต่ยังเด็ก ตลอดจนการสอนเรื่องการใช้จ่ายเงินให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามความจำเป็น
“การสอนเรื่องการใช้จ่ายเงินนั้น อาจจะมองว่าไม่ได้สำคัญมากนัก แต่ข้อเท็จจริงคือมีความจำเป็นอย่างมากยิ่งในยุคปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยความสะดวก สบายจากเทคโนโลยี และการใช้จ่ายผ่านระบบออนไลน์ ทำให้คนเราสามารถซื้อของได้ทุกวัน ดังนั้นการเข้าไปให้ความรู้ที่ว่าไม่จำเป็นว่าของจะต้องมี เป็นโจทย์ว่า ธปท. จะทำอย่างไรนอกจากให้ความรู้เรื่องการออมแล้ว ยังต้องให้ความรู้เรื่องการใช้เงินด้วย และอาจจะต้องมีการพิจารณาเข้าไปควบคุมเรื่องการช้อปปิ้งออนไลน์ ประเภทซื้อก่อนผ่อนทีหลัง (Buy Now Pay Later) โดยทั้งหมดทั้งมวลนั้น คือสิ่งที่จะต้องทำเพื่อวินัยทางการเงินของคนในประเทศดีขึ้นนั่นเอง” ผู้ว่าการ ธปท. กล่าว
อย่งไรก็ดี วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. ยืนยันว่า ธปท. ยังมุ่งหวังว่าการดำเนินงานตามาพันธกิจ ควบคู่กับการออกนโยบายและมาตรการของ ธปท. นั้น จะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างสมดุล และเข้าสู่ศักยภาพ เพื่อให้ประชาชนและประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุด ภายใต้การทำงานที่ยึดมั่นในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค และมีความเป็นอิสระในการดำเนินงาน แต่ก็ยังพร้อมที่จะทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ!!