ท่ามกลางความซบเซาของ “สตาร์ตอัพ” ไทย ที่การระดมทุนเป็นไปได้ยาก และการมาถึงของเทคโนโลยีเอไอที่เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ธุรกิจ มีสตาร์ตอัพไทยรายหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาในการแข่งขัน Lee Kuan Yew Global Business Plan Competition (LKYGBPC) ครั้งที่ 12 มหาวิทยาลัยการจัดการแห่งสิงคโปร์ (SMU) จาก 60 รายในรอบชิง นั่นคือ “MUI Robotics” ผู้ผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีสัมผัสประดิษฐ์ (Artificial Sense) หรือ Sensory AI ทำให้เอไอสัมผัส “กลิ่น” ในโลกจริงได้ เป็น “Deep Tech” ที่หาตัวจับยาก ที่ในโลกมีเพียงไม่กี่รายเท่านั้น
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับสามผู้ก่อตั้ง “ผศ.ดร.ธีรเกียรติ์ เกิดเจริญ” คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ “ดร.วันดี วัฒนกฤษฎิ์” CEO และ “พัฒนนาถ วงศ์วาน” หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยี และการขยายบริการสู่ตลาดโลก ในฐานะสตาร์ตอัพที่เริ่มทำกำไรได้แล้ว และตั้งเป้าจะเป็นยูนิคอร์นรายต่อไป
แม้ว่าในการแข่งขัน LKYGBPC บริษัทนี้ของไทยจะไม่ได้รางวัลชนะเลิศ แต่เป็นหนึ่งในเทคสตาร์ตอัพที่ได้รับการจับตามอง และได้รับการโปรโมตในหลายเวทีย่อยของงาน ในฐานะหนึ่งใน Epic Showdown
“พัฒนนาถ” บอกว่า การร่วมการแข่งขันย่อมคาดหวังรางวัลบ้าง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การได้พบเจอนักลงทุนทั่วโลกที่มาร่วมงาน ซึ่งการขึ้นเวทีที่สิงคโปร์เปิดโอกาสมากกว่าที่ไทย โดยเฉพาะเรื่องการหาแหล่งระดมทุน
“ตอนนี้โรดแมปของเราไม่ได้แค่ต้องการสร้างผลิตภัณฑ์ในการตรวจสอบกลิ่นในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังต้องการจะสร้างโมเดลพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ (Foundation Model) ที่จะกลายเป็นรากฐานให้ทุกคน ทุกสถาบัน และทุกบริษัทที่จะทำงานด้านเอไอดมกลิ่น ผมผ่านการทำงานในโปรแกรมส่งเสริมสตาร์ตอัพในนิวซีแลนด์มายาวนาน และได้เห็นสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพสูง อย่างเช่น RocketLabs ที่ตอนนี้ลิสต์ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐแล้ว’
และมองว่าเทคโนโลยีของ MUI ยังไปได้อีกไกล และเมื่อพิจารณาจากขนาดของตลาดที่อาจใหญ่ถึง 5 แสนล้านเหรียญ และมีคู่แข่งน้อย ทั้งได้เจอกับ ดร.วันดี ที่มีแรงขับเคลื่อนสูง และมีงานวิชาการที่แข็งแกร่งจาก ดร.ธีรเกียรติ์ จึงมั่นใจ ทำให้ตัดสินใจย้ายออกจากนิวซีแลนด์มาอยู่ที่ไทยเพื่อช่วยกันขับเคลื่อนบริษัทสตาร์ตอัพแห่งนี้
“ดร.ธีรเกียรติ์” กล่าวด้วยว่า เทคโนโลยี e-Nose หรือจมูกอิเล็กทรอนิกส์ เกิดขึ้นมานานแล้ว และสามารถพัฒนาต่อยอดได้อีกไกล และขณะนี้กำลังก้าวไปสู่การเป็นโมเดลเอไอ
“ผมเคยตีพิมพ์งานวิจัยที่ได้รางวัลงานวิจัยประหลาดที่สุด แบบเป็นรางวัลที่ตรงข้ามกับรางวัลโนเบล คือ การทำเครื่องดมกลิ่มรักแร้ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันมีประโยชน์ในการทดสอบผลิตภัณฑ์โรลออน หรือเครื่องดับกลิ่น แต่ถ้าผมคนเดียวในฐานะนักวิทยาศาสตร์ จะไม่สามารถมองเห็นอนาคตว่าจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง ไม่อาจสร้างความคาดหวังให้ตลาด แต่การมีทีมงานที่แปลงงานวิจัยเป็นโปรดักต์ได้ ทำให้เห็นความเป็นไปได้อื่น ๆ อีกมากมาย ในหลายอุตสาหกรรม ทั้งอาหาร สุขภาพ”
จากห้องปฏิบัติการในมหาวิทยาลัยมหิดล ที่เทคโนโลยีเซ็นเซอร์พื้นฐานได้พัฒนาและวิจัยต่อเนื่องมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี ก่อนที่จะตกผลึกและก่อตั้งขึ้นเป็นบริษัทเป็นทางการในปี 2021 โดยเป็นการผนึกกำลังกันระหว่างคณาจารย์ และนักศึกษา เพื่อนำนวัตกรรมจากหิ้งวิจัยมาต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ แม้แต่ชื่อบริษัท “MUI” ก็มาจากตัวย่อของ Mahidol University เพื่อตอกย้ำถึงที่มาและรากฐานอันแข็งแกร่งของบริษัท
“ดร.วันดี” ซีอีโอ MUI อธิบายว่า หลักการทำงานของเทคโนโลยีนี้เปรียบเสมือนการสร้าง “จมูกและลิ้นดิจิทัล” ที่สามารถตรวจจับโมเลกุลของสารต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นและรสชาติได้ โดยองค์ประกอบทั้งหมดพัฒนาขึ้นเองภายในบริษัท (In-House) เพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพ และปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรมได้อย่างสมบูรณ์
“เราทำได้เองทั้งหมด ไม่ว่าจะฝั่งฮาร์ดแวร์ เซ็นเซอร์พื้นฐานหลากหลายประเภท เช่น กลุ่ม Metal Oxide, Electrical และ Polymer Sensors ซึ่งสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน ด้านซอฟต์แวร์ มีแพลตฟอร์ม AI ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจากเซ็นเซอร์แบบเรียลไทม์ และส่งข้อมูลผ่านระบบ IOT โมเดลข้อมูล (Data Model) สร้างแบบจำลองข้อมูล (Data Model) และฐานข้อมูลกลิ่นกับรสชาติที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และจำแนกผลลัพธ์ได้แม่นยำ’
ความโดดเด่นของเทคโนโลยีดังกล่าวคือความสามารถในการทำงานแบบเรียลไทม์ (Real-time) และความแม่นยำในระดับวินาที ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีการติดตั้งระบบในโรงงานผลิตสารเคมี ซึ่งระบบสามารถตรวจจับการรั่วไหลและแจ้งเตือนได้ทันท่วงที ช่วยป้องกันเหตุการณ์บานปลายที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังที่เคยเกิดขึ้นในโรงงานแห่งหนึ่งซึ่งมีพนักงานหมดสติเกือบร้อยคนจากเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน
ด้วยความสามารถนี้ เทคโนโลยี Sensory AI จึงพร้อมที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในโลกธุรกิจจริง เพื่อสร้างผลกระทบในหลากหลายอุตสาหกรรม
“งานล่าสุดที่เราได้มา เป็นงานที่เราดีใจ ที่เหมือนได้ช่วยชีวิตคนชิมอาหาร เป็นการดมกลิ่นในโรงงานผลไม้ดองว่าใช้ได้ไหม มีสารที่ใช้ดองเป็นพิษมากเกินไปหรือไม่ ซึ่งแต่ก่อนต้องใช้คนในการทดสอบรสชาติ เราพบว่าคนที่ชิมเขาปากแหว่ง จมูกเป็นแผลไปหมดแล้ว พอเรานำเครื่องมือไปติดตั้ง เขาก็ดีใจที่ช่วยสร้างความปลอดภัย ทำให้เรารู้ว่านี่ไม่ใช่แค่เครื่องมือที่ช่วยตรวจวัดประสิทธิภาพกลิ่นอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือช่วยชีวิตคนด้วย ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค”
ปัจจุบัน MUI Robotics พิสูจน์ความสำเร็จในตลาดธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและซัพพลายเชน ตั้งแต่ต้นน้ำ (ภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์) ไปจนถึงกลางน้ำ (ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม) เพื่อใช้ในการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์
“หนึ่งในกรณีศึกษาที่สร้างความน่าเชื่อถือในระดับโลกคือการได้รับความไว้วางใจจาก Nestle ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเทคโนโลยีของ MUI Robotics ไปใช้ในโรงงานเพื่อตรวจสอบคุณภาพของเมล็ดกาแฟที่ส่งมาจากซัพพลายเออร์ทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจว่าวัตถุดิบต้นน้ำได้มาตรฐานตามที่กำหนด”
“ด้วยผลิตภัณฑ์หลัก AI-Nose และ AI-Tongue (ลิ้นอิเล็กทรอนิกส์) มีความแม่นยำสูงถึง 95% ตรวจจับดมหรือชิมครั้งเดียว บอกได้ว่าเมล็ดกาแฟปนเปื้อนหรือไม่ ถูกเก็บเกี่ยวเมื่อไร และถูกเก็บรักษาอย่างไร ทำให้อุตสาหกรรมมีความเร็ว-ความเที่ยงตรงในการควบคุมคุณภาพ (QC) และสามารถติดตามย้อนกลับ (Traceability) ห่วงโซ่อุปทานอาหาร ตั้งแต่วัตถุดิบถึงปลายทางผู้บริโภค”
สำหรับโมเดลธุรกิจหลักมีความยืดหยุ่นสูงและมีรูปแบบรายได้ 3 ประเภท คือ 1.การขายขาด ขายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์พร้อมซอฟต์แวร์ให้ลูกค้า 2.การสมัครสมาชิก (Subscription) ให้บริการในรูปแบบการเช่าใช้ราย 6 เดือน หรือ 12 เดือน และ 3.บริการตรวจวัด และวิเคราะห์ข้อมูลเป็นครั้งคราวตามความต้องการของลูกค้าแบบออนไซต์
นอกเหนือจากในตลาด B2B, MUI Robotics กำลังวางหมากรุกชิ้นต่อไปด้วยการบุกเบิกตลาดผู้บริโภคและสุขภาพ (Wellness) ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีโอกาสเติบโตมาก ผ่านผลิตภัณฑ์แห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็น “เสื้อดมกลิ่นโรค” เสื้ออัจฉริยะที่สามารถตรวจวัดโรคเบาหวานและมะเร็งจากสารประกอบที่ระเหยออกมาจากลมหายใจและผิวหนัง โดยมีแผนเปิดตัวในตลาด Wellness ก่อน เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยสแกนสุขภาพเบื้องต้น
และในอนาคตอาจมีการพัฒนาอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภค อุปกรณ์พกพาสำหรับผู้บริโภคทั่วไป เพื่อใช้ตรวจหาสารพิษตกค้างในผัก หรือตรวจสอบความสดใหม่ของเนื้อสัตว์และปลาในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือการพัฒนาเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับความเหนื่อยล้า (Fatigue) ในการฝึกทหาร หรือการออกกำลังกาย
“ดร.วันดี” กล่าวว่า การระดมทุนในระยะแรกได้รับการส่งเสริมจาดภาครัฐ เช่น Depa, NIA และกระทรวงอุตสาหกรรม ในรอบ Seed รวมถึงจากกองทุนเอกชนจำนวนหนึ่ง รวมกันราว 20 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงผลิตในประเทศไทย แต่ปัจจุบันมีรายได้และต้องการจะขยายการผลิต และขยายตลาด ทำให้ต้องหาเงินลงทุนเพิ่ม ซึ่งในประเทศไทยไม่มีแหล่งทุนเพียงพอ ดังนั้น ในรอบ Series A (ปัจจุบัน) ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 3-5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปใช้ในการขยายตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ปัจจุบัน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่เรียกว่า “Sensory Foundation Model”
“เพื่อรองรับการระดมทุนและการขยายตลาดในต่างประเทศ บริษัทได้วางกลยุทธ์จัดตั้งบริษัทโฮลดิ้ง ชื่อ MUI Global ที่สิงคโปร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางในการระดมทุน และทำตลาดในระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีขั้นสูงนิยมใช้เพื่อเข้าถึงแหล่งทุนทั่วโลกและใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางกฎหมายที่เอื้อต่อการลงทุน”
ในท้ายที่สุด โครงสร้างของบริษัทจะปรับเปลี่ยนให้ MUI Global ที่สิงคโปร์กลายเป็นบริษัทแม่ ดูแลลูกค้าในไทยและมาเลเซีย โดย MUI Robotics ในประเทศไทยจะโอนเข้าไปอยู่ภายใต้โครงสร้างดังกล่าว
แม้ว่าจะเป็นดีปเทคสตาร์ตอัพ แต่ MUI Robotics ก็สามารถสร้างผลประกอบการที่กลายเป็นกำไรได้แล้ว โดยมีรายได้ปีที่แล้ว 20 ล้านบาท กำไรสุทธิ 13% มีพนักงาน 23 คน ที่สามารถดูแลลูกค้าระดับหลายร้อยรายได้ทั่วถึง ด้วยการนำเทคโนโลยี Chatbot เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการลูกค้า
แต่เมื่อต้องย้ายมาที่สิงคโปร์ เพื่อระดมทุนและการเป็นฐานขยายบริการไปสู่ตลาดในภูมิภาคและตลาดโลก ก็จำเป็นต้องมีเพิ่มคน ซึ่งนอกจากมาแข่งขันที่สิงคโปร์แล้ว ยังมีไปบรรยายพิเศษให้นักศึกษามหาวิทยาลัยในสิงคโปร์ด้วย เพื่อที่อาจกลายมาบุคลากรของบริษัทในอนาคต
“พัฒนนาถ” กล่าวด้วยว่า การเดินสายพบปะนักลงทุนจะดำเนินการต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนตุลาคมนี้จะขึ้นเวทีใหญ่ TechCrunch Disrupt 2025 ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเวทีที่กองทุน VC ในซิลิคอนวัลเลย์ ให้ความสนใจ
“จริง ๆ แล้ว MUI Robotics มีสถานะเป็นสตาร์ตอัพที่สร้างรายได้แล้ว มูลค่าปัจจุบันนับว่าเป็นหนึ่งใน Soonicorn ถ้าประเมินคร่าว ๆ ตอนนี้ราว 500 ล้านเหรียญสหรัฐ”
เมื่อถึงเป้าหมายในการเป็นยูนิคอร์น “ดร.วันดี” ให้ความมั่นใจว่า มีเป้าหมายภายใน 4 ปี ในการก้าวสู่การเป็น “ยูนิคอร์น” หรือบริษัทที่มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้ได้ด้วยเทคโนโลยี Sensory AI ที่มีศักยภาพในการเจาะตลาดขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัทประเมินไว้ว่ามีมูลค่าสูงถึงหลักแสนล้าน
“เราน่าจะถูก Approach โดยทุนใหญ่ที่เขา เห็น Benefit จากเครื่องมือ เทคโนโลยี แล้วก็ทีมวิจัยของเรา มีคนที่จะมา Merge เลย เพื่อให้เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเขา แต่เราขออยู่ของเราแบบนี้เพื่อรอเป็นยูนิคอร์นดีกว่า
เพราะตอนนี้มีแผนที่จะตั้ง Holding ที่สิงคโปร์ เพื่อใช้ในการระดมทุนในฝั่งเอเชียและอเมริกา รวมถึงเพื่อดำเนินการด้านคอมเมอร์เชียลในระดับโลก หากเทียบเคียงตามมาตรฐานในอเมริกา การระดมทุนรอบ Series A อาจอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ (เป็นเงินไทยราว 300 ล้านบาท) หลังจากจบรอบ Series A แล้ว บริษัทยังมีแผนที่จะระดมทุนในซีรีส์ถัดไปด้วย”