คลื่นความร้อนลึกลับ ทำมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือร้อนทุบสถิติสูงสุด นักวิทย์ยังหาคำตอบไม่ได้
October 19, 2025 07:54 AM

อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2025 โดยอุณหภูมิผิวน้ำสูงกว่าค่าสูงสุดเดิมเมื่อปี 2022 ถึงกว่า 0.25 องศาเซลเซียส

สำนักข่าว BBC รายงานว่า อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2025 โดยอุณหภูมิผิวน้ำสูงกว่าค่าสูงสุดเดิมเมื่อปี 2022 ถึงกว่า 0.25 องศาเซลเซียส โดยการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยนี้ถือว่ามหาศาลเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่กว้างกว่า 10 เท่าของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเล มีแนวโน้มเกิดบ่อยขึ้นเพราะ ภาวะโลกร้อนจากฝีมือมนุษย์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้กลับรุนแรงและยาวนานผิดปกติ จนยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน โดย เซเก เฮาส์ฟาเธอร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศจาก Berkeley Earth สหรัฐฯชี้ว่า มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือแน่นอน 

ข้อมูลจากบริการภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (Copernicus) ของยุโรป พบว่า พื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือ — ตั้งแต่ชายฝั่งเอเชียตะวันออกจรดอเมริกาเหนือกำลังประสบคลื่นความร้อนทางทะเลขนาดยักษ์ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า "Warm Blob"

อุณหภูมิของผิวน้ำในปี 2025 สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับทศวรรษก่อนหน้า และเกินกว่าที่แบบจำลองภูมิอากาศคาดการณ์ไว้มาก โดยมีโอกาสไม่ถึง 1% ที่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นในปีใดปีหนึ่งตามธรรมชาติ

นักวิทยาศาสตร์คาดว่า การเปลี่ยนแปลงของลม ที่อ่อนกว่าปกติในฤดูร้อนปีนี้อาจเป็นปัจจัยหนึ่ง ทำให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ไม่ถูกพัดไปผสมกับน้ำเย็นด้านล่าง จึงสะสมอยู่ที่ผิวน้ำมากขึ้น

แต่สิ่งนี้ยังไม่สามารถอธิบายความร้อนที่เพิ่มขึ้นได้ทั้งหมด ดร.เฮาส์ฟาเธอร์ ระบุว่ามันไม่ใช่แค่ความผันแปรตามธรรมชาติแน่นอน ยังมีอย่างอื่นที่ทำให้ร้อนผิดปกติ

 

หนึ่งในสมมติฐานที่กำลังถูกจับตามองคือ การเปลี่ยนสูตรน้ำมันเชื้อเพลิงของเรือเดินสมุทรตั้งแต่ปี 2020 ก่อนหน้านั้น น้ำมันเรือที่สกปรกปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์จำนวนมาก ซึ่งแม้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ซัลเฟอร์เหล่านี้ช่วยสร้างละอองเล็ก ๆ ที่สะท้อนแสงอาทิตย์ออกไป ทำให้โลกเย็นลงเล็กน้อย

เมื่อมีการลดการปล่อยซัลเฟอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะในเส้นทางเดินเรือหนาแน่นของแปซิฟิก ผลที่ตามมาอาจคือ การสูญเสียเกราะสะท้อนความร้อนตามธรรมชาติ ทำให้มหาสมุทรดูดซับพลังงานจากดวงอาทิตย์มากขึ้น

งานวิจัยอื่น ๆ ยังชี้ว่า การลดมลพิษทางอากาศในเมืองใหญ่ของจีน ก็อาจมีส่วนในแนวโน้มเดียวกัน เพราะอากาศที่สะอาดขึ้นสะท้อนแสงได้น้อยลง และปล่อยให้ความร้อนเข้าสู่ผิวน้ำมากกว่าเดิม

คลื่นความร้อนทางทะเลครั้งนี้ไม่เพียงทำให้มหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือร้อนจัดเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสภาพอากาศทั้งสองฝั่งของมหาสมุทรในเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เจออุณหภูมิหน้าร้อนสูงเป็นประวัติการณ์ ส่วนสหรัฐฯ เผชิญ พายุฝนฟ้าคะนองกำลังแรงและพายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรงขึ้น

ศาสตราจารย์ อแมนดา เมย์ค็อก จากมหาวิทยาลัยลีดส์ ระบุว่า เมื่อผิวน้ำทะเลอุ่นขึ้น จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า แม่น้ำในอากาศ ซึ่งขนความชื้นจากทะเลขึ้นฝั่ง ทำให้เกิดฝนหรือหิมะตกหนักในหลายพื้นที่

นอกจากคลื่นความร้อนในตอนเหนือแล้ว ปัจจุบันในแถบแปซิฟิกตอนใต้กำลังเกิด ภาวะลานีญา ซึ่งทำให้ผิวน้ำในเขตร้อนของมหาสมุทรเย็นผิดปกติ 

องค์การ NOAA ของสหรัฐฯ คาดว่า ลานีญาอ่อน ๆ จะดำเนินต่อไปอีกหลายเดือน และอาจส่งผลต่อรูปแบบฝนและพายุทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อทำงานร่วมกับความร้อนรุนแรงในแปซิฟิกตอนเหนือ

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนชัดว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของมหาสมุทรเดือด โดยงานวิจัยล่าสุดระบุว่า จำนวนวันของคลื่นความร้อนในทะเลเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าภายในไม่กี่ทศวรรษและปี 2025 อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องทบทวนสมการโลกร้อนใหม่ทั้งหมด

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.