เป็นเวลานานกว่า 7 เดือนแล้วที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสายใน จ.เชียงราย เผชิญปัญหาปนเปื้อนสารโลหะหนัก กรมควบคุมมลพิษรายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำครั้งที่ 11 (1–5 กันยายน 2568) ในพื้นที่แม่น้ำกกและสาขา พบว่า ค่าสารหนูในหลายจุดยังเกินมาตรฐาน โดยเฉพาะแม่น้ำสายทั้ง 3 จุดตรวจวัด มีค่าสารหนูสูงกว่าเกณฑ์ 2 เท่า เช่นที่บ้านหัวฝายและสะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 2 ขณะที่แม่น้ำโขงก็พบเกินค่ามาตรฐานเช่นกัน
ส่วนแม่น้ำกกยังพบว่ามีค่าสารหนูเกินมาตรฐานบางจุด เช่น บริเวณสะพานเฉลิมพระเกียรติ 1 และท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน ส่วนแม่น้ำรวกไม่พบการเกินมาตรฐาน ทั้งนี้ภาพรวมยังคงมีน้ำสีแดงขุ่นและค่าความขุ่นสูง สะท้อนถึงภาวะปนเปื้อนโลหะหนักที่ยังน่ากังวล กรมควบคุมมลพิษ อธิบายว่าการที่ยังพบค่าสารหนูเกินมาตรฐานในหลายจุด แม้จะอยู่ในช่วงฤดูฝนซึ่งมีน้ำท่ามาก อาจเป็นเพราะบางพื้นที่อย่างแม่น้ำสายอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดมลพิษ ทำให้การเจือจางด้วยปริมาณน้ำไม่เพียงพอ
สาเหตุการปนเปื้อนของแม่น้ำ กก สาย รวก รวมถึงแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขาต่างๆ ถูกเชื่อมโยงกับการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในพื้นที่รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งมูลนิธิบูรณะนิเวศระบุมีข้อมูลจำนวนมากบ่งชี้ว่า เป็นของนักลงทุนชาวจีน ขณะเดียวกัน ในระดับโลกก็ชัดเจนว่า จีนคือประเทศผู้ผลิตและส่งออกแรร์เอิร์ธรายใหญ่ที่สุด และไทยขึ้นอันดับเป็นผู้ส่งออกด้วยเช่นกัน
สารพิษข้ามชาติที่ปนเปื้อนแม่น้ำสำคัญๆ ทางภาคเหนือของประเทศไทย ยังสร้างความหวาดวิตกประชาชน เมื่อมีการรายงานพบประปาหมู่บ้านในพื้นที่น้ำกก-สายเป็นพิษจากตะกั่วไปแล้ว 18 หมู่บ้าน ล่าสุดผลการตรวจปัสสาวะคนในพื้นที่พบสารหนูในคนเกินเกณฑ์ อีก 7 คน การตรวจปัสสาวะ โดยกรมควบคุมโรคครั้งนี้เป็นการตรวจคนในพื้นที่ใช้น้ำกก-สาย 322 คนในจังหวัดเชียงราย และ 40 คนในจังหวัดเชียงใหม่ โดยทั้ง 7 รายที่ตรวจพบค่าสารหนูเกินเกณฑ์ (100 ไมโครกรัมต่อลิตร) แบ่งเป็นประชาชนในพื้นที่ จ.เชียงรายทั้งหมด อ.เมือง 3 คน อ.เวียงชัย 2 คน เวียงเชียงรุ้ง 1 คน และอ.เชียงแสน 1 คน สร้างความหวาดวิตก ชาวบ้านกังวลหนักถึงคุณภาพน้ำประปาที่ใช้ในครัวเรือน ทั้งจากประปาภูมิภาค และประปาหมู่บ้าน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในลำน้ำกก และรับฟังข้อคิดเห็นจากภาคประชาชน ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่และเชียงราย เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สั่งการให้ทั้งกรมทรัพยากรน้ำ และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล จัดหาแหล่งน้ำดิบที่ไม่มีการปนเปื้อน ทั้งแหล่งน้ำผิวดิน และแหล่งน้ำใต้ดิน สำหรับเป็นแหล่งน้ำสำรองในการผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนในพื้นที่ได้ใช้อุปโภคบริโภคได้อย่างปลอดภัยเป็นการเร่งด่วน โดยเฉพาะระบบประปาหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณสองฝั่งของลำน้ำกก ได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำดำเนินการสำรวจและจัดหาแหล่งน้ำผิวดินสำรองในการผลิตน้ำประปาหมู่บ้านให้กับชุมชนโดยด่วน
นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ได้มอบหมายให้ นายโอภาส ถาวร รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ และสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 (ลำปาง) เร่งสำรวจสองฝั่งลำน้ำกกในรัศมีข้างละ 1 กิโลเมตร ซึ่งพบว่า ตลอด 2 ฝั่งลำน้ำมีระบบผลิตน้ำประปาหมู่บ้านที่เป็นระบบประปาผิวดินใช้น้ำจากแม่น้ำกก 8 แห่ง แต่ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนจากการนำน้ำกกมาผลิตเป็นน้ำประปา โดยได้ไปใช้แหล่งน้ำผิวดินในพื้นที่ผลิตน้ำประปาทดแทนแล้ว และยังคงเหลืออีกเพียง 1 แห่ง ที่ยังไม่สามารถหาแหล่งน้ำมาทดแทนได้ คือ บ้านหนองไคร้คราง
นอกจากนี้ กรมทรัพยากรน้ำยังได้เร่งติดตั้งกล้อง CCTV แบบอัจฉริยะ (AI) เพื่อติดตามเฝ้าระวังและแจ้งเตือนให้ประชาชนได้ทราบถึงสถานการณ์ของน้ำกกอย่างทันท่วงที ปัจจุบันติดตั้งกล้อง CCTV เพื่อเฝ้าระวังและแจ้งเตือนไปแล้ว 2 แห่ง ตำแหน่งที่ 1 ที่สะพานขุนเม็งรายมหาราช ต.แม่ยาว เชียงราย และตำแหน่งที่ 2 ที่สะพานแม่นาวางท่าตอน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และยังสำรวจติดตั้งโครงการพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำ พร้อมติดตั้งตรวจจับและวิเคราะห์ด้วยกล้องอัจฉริยะเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำแม่น้ำกกเพิ่มอีก 10 จุด
รวมทั้งยังได้จัดทำโครงการเพื่อจัดหาแหล่งน้ำผิวดินเพื่อใช้อุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยจัดทำประปาหมู่บ้าน 2 โครงการ คือ 1. โครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค หนองไคร้คราง สนับสนุนประปาบ้านสันไทรงาม อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย ที่มีการนำน้ำกกมาใช้ในการผลิตน้ำประปาหมู่บ้าน หากแล้วเสร็จจะมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 200 ครัวเรือน และ 2.โครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำเพื่อการเกษตร ร่องโจ๊ก บ้านสันธาตุใหม่พัฒนา ต.โยนก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย หากแล้วเสร็จจะมีผู้ได้รับผลประโยชน์กว่า 300 ไร่ หรือกว่า 60 ครัวเรือน
กรมทรัพยากรน้ำ โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 (ลำปาง) มีสถานีเตือนภัยล่วงหน้าและคอยเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำที่จังหวัดเชียงราย-เชียงใหม่ เพื่อเตือนภัยให้กับประชาชน ตลอด 24 ชั่วโมง และยังได้ดำเนินการสำรวจแหล่งน้ำอื่นมาทดแทนเพื่อใช้ในการผลิตประปาหมู่บ้าน
ด้าน ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำกก ณ เขื่อนเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย วันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา ระบุจังหวัดเชียงรายยังประสบปัญหาจากภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม โดยเฉพาะปัญหาสารตกค้างในแม่น้ำกกส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประชาชน สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเจรจาให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อกำหนดมาตรฐานร่วมกัน ไม่ให้มีการระบายสารเคมีลงสู่ลำน้ำสาขาที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทย เพราะเรื่องนี้กระทบโดยตรงต่อชีวิตของพี่น้องประชาชน ผมจะนำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันอังคารนี้ เพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานด้านความมั่นคงดำเนินการทางการทูตอย่างเป็นระบบ
รมว.ธรรมนัส สั่งการให้กรมชลประทานเร่งพิจารณาการสร้างประตูระบายน้ำหรือฝายดักตะกอนบริเวณต้นน้ำก่อนเข้าสู่อำเภอแม่อาย เพื่อกรองและลดการไหลของสารปนเปื้อนก่อนเข้าสู่จังหวัดเชียงราย พร้อมมอบหมายให้กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน และกรมประมง ร่วมตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และสัตว์น้ำอย่างละเอียด เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าทรัพยากรเหล่านี้ปลอดภัยต่อการบริโภค
แม้รัฐบาลขยับแก้ปัญหามลพิษแม่น้ำกก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังเชื่องช้าและไม่ทันต่อความรุนแรงของปัญหาที่ขยายวงกว้างลุกลาม ขาดแผนระดับชาติเพื่อบรรเทาสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนในลุ่มน้ำและสิ่งแวดล้อม จากเวทีสัมมนาที่จัดโดยคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับหลายหน่วยงาน หยิบยกปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐฉานและลุ่มน้ำโขงตอนบนขึ้นมาหารืออย่างเข้มข้น
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า เหมืองแร่แรร์เอิร์ธเป็นภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายสูง แต่รัฐบาลไทยยังไม่เคยจัดทำแผนปฏิบัติการระดับประเทศเพื่อแก้ปัญหานี้ ทั้งที่มีข้อเสนอจากหลายภาคส่วน ความเสียหายไม่ได้มีเพียงด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจระดับประเทศด้วย จึงจำเป็นต้องให้คณะรัฐมนตรีเข้ามาดำเนินการโดยตรง รวมถึงมีมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
เพ็ญโฉมยังตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มทุนไทยมีส่วนได้ประโยชน์จากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกสารเคมีและการหล่อหลอมในพื้นที่จังหวัดระยอง ข้อมูลปี 2565 พบการส่งออกแรร์เอิร์ธจากไทยกว่าพันตัน ซึ่งสะท้อนถึงความเกี่ยวพันโดยตรง รัฐบาลจึงต้องเร่งตรวจสอบให้โปร่งใส และผลักดันให้ภาคธุรกิจมีส่วนรับผิดชอบ เช่น การระงับการส่งออกสารเคมีในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อสร้างแรงกดดันให้แก้ปัญหาที่ต้นทาง ขณะเดียวกันยังเสนอให้มีการจัดทำแผนติดตามระยะ 3–5 ปี และผลักดันให้เกิดกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเริ่มต้นจากความร่วมมือในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
ขณะที่ภาคประชาสังคมเรียกร้องที่รัฐต้องเร่งดำเนินการด้านสาธารณสุขเพิ่มเติมจากตรวจพบสารหนูเกินเกณฑ์ครั้งนี้ ประกอบด้วยตรวจสารหนูให้ละเอียดว่า เป็นสารหนูอนินทรีย์เท่าไหร่จากสารหนูทั้งหมด ,เจาะเลือดตรวจร่างกายโดยละเอียดเพิ่ม เพื่อตรวจความสมบูรณ์เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด, ปรับเกณฑ์การกรองคนเพื่อเข้าตรวจปัสสาวะตามพฤติกรรมอื่น ๆ ของทั้ง 7 รายนี้เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงมากขึ้น และออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยโรคที่ต้องเฝ้าระวังจากน้ำปนเปื้อนสารโลหะหนัก พร้อมนำพื้นที่เหล่านี้เข้าเป็นเขตพื้นที่เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคจากสิ่งแวดล้อมด้วย
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐบาลจะเริ่มทำงานแก้ปัญหาสารพิษข้ามแดนนี้อย่างจริงจัง ทั้งการหยุดมลพิษที่ต้นตอกับต่างประเทศ และการจัดการปัญหาปนเปื้อนสารโลหะหนักภายในประเทศ