ส.อ.ท. ย้ำไทยเหมือนรถติดหล่ม จากปัจจัยลบรุมเร้า ส่งผลไตรมาส 4 GDP ไทยอาจโตแค่ 0.3% เผย 21 ต.ค. 68 จ่อหารือ ธปท. ร่วมหาทางออกเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งค่า
20 ต.ค. 2568 – นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ค่อนข้างน่าเป็นห่วงซึ่งเปรียบเสมือน “รถติดหล่ม” เพราะยังคงมีปัจจัยลบจากเรื่องของปัญหาโครงสร้างยังไม่ถูกแก้ไข นั่นคือ 1.มีวัยทำงานน้อยเพราะไทยเป็นสังคมผู้สูงวัย 2.การคอรัปชั่นของระบบราชการรวมถึงกฎหมายที่ล้าหลัง 3.กับดักรายได้ปานกลาง 4.งบประมาณที่ไม่สมดุลในการเบิกจ่าย 5.ระบบการศึกษา นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่มาจากความเสี่ยงอื่น ๆ คือ ภาษีทรัมป์ สินค้าทุ่มตลาด สงครามระหว่างประเทศ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา หนี้ครัวเรือน เงินบาทแข็ง การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มีผลต่อการเกษตร และการเมืองภายในประเทศ
ดังนั้น จึงคาดว่าไตรมาส 4 GDP ไทยอาจโตแค่ 0.3% ส่งผลให้ทั้งปี 2568 GDP โตได้เพียง 2% เท่านั้น แต่หากไตรมาส 4 รัฐบาลสามารถเอามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนละครึ่ง กระตุ้นการลงทุน แก้ปัญหาหนี้ครัว และมีมาตรการช่วยหนี้เสีย (NPL) SMEs ได้อาจทำให้ช่วยดัน GDP ได้อีก 0.4% หรือ GDP โตไปได้ในกรอบ 1.8-2.2% ขณะเดียวกัน GDP ปี 2569 ซึ่ง IMF ประเมินว่า GDP ไทยจะโตเพียง 1.6% เท่านั้น เพราะยังคงมีความไม่แน่นอนสูงเช่นเดียวกับปี 2568 ปัจจัยลบมาตากการส่งออกชะลอตัว การผลิตชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อภาคการเกษตร ผลผลิต เช่นน้ำท่วม ภัยแล้ง
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยบวกเข้ามาช่วย เช่น การลงทุนยังมีการขยายตัว ซึ่งประเทศไทยเองจะต้องเร่งจัดหาพื้นที่รองรับรวมถึงน้ำ ไฟฟ้า บุคคลากร เพราะจะเกิดการย้ายฐานเข้ามาลงทุนมากขึ้นจากกลุ่มอุตสาหกรรม คลาวด์ PCB ดาต้าเซ็นต์เตอร์ EV อาหาร BCG และยังคงมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งในปี 2568 ที่จะสร้างความเชื่อมั่นมากขึ้น
“เราอยากให้ทุกพรรคที่จะลงเลือกตั้งครั้งนี้ เอาเรื่องที่เราเสนอไปศึกษาให้มันมีแนวทางออกมาให้ตรงโจทย์ให้มาก อย่าเอานโยบายที่เป็นประชานิยมมากจนเกินไป ควรเอาเรื่องที่เอกชนเสนอเพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดจากความต้องการที่แท้จริง ควรต้องใช้วิธีการปรึกษากัน ไม่ใช่ช่วยฝ่ายนึงแล้วโยนภาระให้อีกฝ่ายหนึ่งมันไม่ใช่การแก้ปัญหา ทุกประเทศปรับตัวหมุนดิ้นแรง ไทยก็เล่นกันต้องดิ้น ตัดสินใจให้เร็ว เพราะจากนี้การแข่งขันโลกจะรุนแรงขึ้น” นายเกรียงไกร กล่าว
ทั้งนี้ ในวันที่ 21 ต.ค.2568 ทาง ส.อ.ท. เตรียมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อร่วมกันหาทางออกเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ในขณะนี้ ซึ่งสถานการณ์ของค่าเงินดังกล่าวยอมรับว่าความผันผวนคือเรื่องปกติ แต่ที่ผ่านมาตั้งข้อสังเกตุว่าเงินบาทไทยที่เมื่อเวลาแข็งหรืออ่อนค่ามักสูงที่สุดในภูมิภาค นอกจากนี้ยังเตรียมข้อเสนอต่อ ธปท. ในการดูแลค่าเงินบาทเพื่อให้ประเทศไทยไม่เสียเปรียบในการค้าและการแข่งขันโดยเฉพาะกับผู้ส่งออก
ส่วนกรณีประเด็นเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับใหม่ที่ถูกเสนอโดยพรรคประชาชน ในการปรับแก้เรื่องของเวลาการทำงาน การเพิ่มวันหยุด ซึ่งทุกอย่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องการให้ภาครัฐทบทวนให้ดี เพราะผลที่เกิดจะมีผลเสียมากกว่า โดยเฉพาะค่าจ้างแรงงานที่จะลดลง เป็นต้น