“ดิ แอสคอทท์” เดินหน้ารุกตลาดไทย เปิดเกมขยายพอร์ตที่พักครบวงจร เจาะเมืองท่องเที่ยวในไทย-ลาว ชู 3 กลยุทธ์หลักขับเคลื่อนการเติบโตระยะยาว Asset Light-Multi เติบโตไว ไม่ต้องลงทุนเอง Typology สร้างพอร์ตโฟลิโอหลากหลาย ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซ็กเมนต์ Strategic Location เจาะเมืองท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยม รองรับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว
นายคณิต แสงมุกดา ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทยและลาว บริษัท ดิ แอสคอทท์ ลิมิเต็ด ประเทศไทย (แอสคอทท์)เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่เปิดดำเนินงานในประเทศไทย 26 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ พัทยา ศรีราชา และ 1 แห่งใน สปป.ลาว รวม 5,510 ห้อง โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในปีนี้อยู่ในระดับสูง ได้แก่ กรุงเทพฯ 68%, ศรีราชาและพัทยา 70% และเวียงจันทน์ (ลาว) 80% ซึ่งตั้งเป้ารายได้ในปี 2026 เติบโตอยู่ที่ 7% และอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5% นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาอีก 4 แห่ง รวม 1,678 ห้อง
“ประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางการเติบโตหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรามีพอร์ตโฟลิโอทั้งที่ไทยและลาวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาโซลูชั่นที่พักที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางยุคใหม่อย่างแท้จริง”
นายคณิตกล่าวด้วยว่า สำหรับในปี 2568 นี้บริษัทได้เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ โครงการ La Clef Bangkok by The Crest Collection บนถนนสุขุมวิทซอย 38 ซึ่งเป็นเซอร์วิสเรซิเดนซ์ระดับลักเซอรี่ ภายใต้แบรนด์ระดับพรีเมี่ยมจากฝรั่งเศส ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และโครงการ Ascott Abov Patong Phuket เป็นโครงการรีสอร์ตและเรซิเดนซ์บนหาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีแผนจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในไตรมาส 2 ปี 2570 ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการเปิดรีสอร์ตภายใต้แบรนด์ของบริษัทในเมืองท่องเที่ยวชายฝั่งอันดามันเป็นครั้งแรก
“แผนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขยายพอร์ตโฟลิโอสู่เมืองท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ พัทยา ภูเก็ต และหัวหิน เพื่อรองรับความต้องการด้านการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และสร้างสมดุลระหว่างตลาดลูกค้าธุรกิจ และนักท่องเที่ยวทั่วไปซึ่งมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง”
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย 1.กลยุทธ์ Asset-Light Strategy เติบโตไว ไม่ต้องลงทุนเอง โดยเน้นการขยายพอร์ตผ่านสัญญาบริหารจัดการและแฟรนไชส์ทั่วประเทศ
“แนวทางนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เราสามารถขยายธุรกิจได้รวดเร็ว และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างโอกาสให้นักลงทุนเติบโตไปพร้อมกัน”
2.กลยุทธ์ Multitypology พอร์ตโฟลิโอหลากหลาย ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซ็กเมนต์ อาทิ โรงแรม โคลีฟวิ่ง รีสอร์ต และเรซิเดนซ์ โดยภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ ในเครือ ด้วยโมเดลบริการไฮบริด (Hybrid Operations) ที่สามารถรองรับทั้งผู้เข้าพักระยะสั้นและระยะยาว
และ 3.กลยุทธ์ Strategic Location Expansion เจาะเมืองท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยม ซึ่งบริษัทมองเห็นศักยภาพในเมืองท่องเที่ยวรองและหัวเมืองใหม่ อาทิ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน รวมถึงพื้นที่ที่มีกลุ่มลูกค้าองค์กรเดินทางประจำ
นายคณิตกล่าวต่อด้วยว่า จากการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคหลังวิกฤตโควิด พบว่า แนวโน้มนักเดินทางรุ่นใหม่มีความต้องการที่พักแบบยืดหยุ่น และเน้นคุณภาพของประสบการณ์เป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่ม Digital Nomads ที่นิยมเข้าพักในที่พักที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยบริษัทเชื่อว่าแนวโน้มนี้จะทำให้การเข้าพักเฉลี่ยของลูกค้าเพิ่มขึ้น และเป็นโอกาสสำคัญในการขยายฐานลูกค้าไปยังเซ็กเมนต์ที่มีการเติบโตสูง
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นหนึ่งในแกนหลักของการดำเนินธุรกิจ ผ่านกรอบแนวคิด Ascott CARES ซึ่งครอบคลุมทั้งในเรื่องของสิ่งแวดล้อม พลังงาน สุขภาพความปลอดภัย รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน และการบริหารจัดการอย่างโปร่งใส
นายคณิตกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ปี 2568 นี้ยังเป็นปีที่มีความท้าทายในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป โดยเฉพาะการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจากจีน ที่ปัจจุบันเข้ามาพักเพียงแค่ 9% อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเห็นสัญญาณการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกลุ่มลูกค้าองค์กรจากประเทศต่าง ๆ อาทิ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สหรัฐ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ฯลฯ
สะท้อนว่าลูกค้าของบริษัทมีความหลากหลายไม่พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งจนเกินไป และสามารถรับความผันผวนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้อย่างดี
“เราจะเดินหน้าเติบโตในตลาดไทยด้วยการขยายเครือข่ายที่พักในทำเลยุทธศาสตร์ และยกระดับประสบการณ์การเข้าพักควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม” นายคณิตกล่าว
