แอตต้า เตือนผลกระทบทางอ้อมหลังเกาหลีใต้เดินหน้าปราบคอลเซ็นเตอร์และแบนเที่ยวกัมพูชา ชี้ภาพลักษณ์ไทยถูกโยงข่าวลบต่อเนื่อง พร้อมจี้รัฐบาลเร่งการสื่อสาร-สร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว
นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร ประธานที่ปรึกษาและนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า จากสถานการณ์การท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน หลังรัฐบาลเกาหลีใต้เดินหน้าปราบปรามเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานปฏิบัติการในประเทศกัมพูชาอย่างจริงจัง พร้อมทั้งออกประกาศเตือนพลเมืองหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศกัมพูชาอย่างเด็ดขาด โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงเดินทางไปประสานงานนำพลเมืองกลับประเทศด้วยตนเอง
แม้การประกาศห้ามเดินทางครั้งนี้ จะพุ่งเป้าไปที่กัมพูชาโดยตรง แต่ประเทศไทยซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับกัมพูชาและมีชื่อถูกเอ่ยถึงในข่าวเชิงลบหลายครั้งก่อนหน้านี้ ก็ได้รับผลกระทบทางอ้อม โดยเฉพาะในเรื่องภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
“แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ที่เดินทางมาไทยจะยังอยู่ในระดับสูง โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเกาหลีเข้ามากว่า 1.2 ล้านคน อยู่อันดับ 5 ของจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด แต่สถานการณ์ด้านภาพลักษณ์ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะเหตุการณ์ในกัมพูชาอาจสร้างความกังวลให้กับนักท่องเที่ยวที่ยังไม่มั่นใจในภูมิภาคนี้”
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ ไทยเคยได้รับผลกระทบจากกรณีที่มีข่าวนักแสดงชาวจีนหายตัวในบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งกลายเป็นกระแสข่าวใหญ่ในประเทศจีนและหลายประเทศในเอเชีย ส่งผลให้เกิดความลังเลของนักท่องเที่ยวต่อการเดินทางมายังไทย แม้ว่าเหตุการณ์จะไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงในประเทศไทยก็ตาม
นายศิษฎิวัชร กล่าวอีกว่า รัฐบาลไทยจำเป็นต้องตระหนักว่าภาคการท่องเที่ยวมีความอ่อนไหวสูงต่อกระแสข่าวสาร โดยเฉพาะข่าวด้านลบที่ส่งผลกระทบอย่างรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์ ดังนั้นรัฐบาลต้องวางแผนเชิงรุกในการสื่อสาร ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
“สิ่งสำคัญที่สุดคือ การสื่อสารจากผู้นำระดับสูงโดยตรง เช่น นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ในระดับนโยบาย ชี้แจงมาตรการป้องกัน ปราบปราม รวมถึงแผนการสร้างความมั่นใจ เพื่อให้สื่อมวลชนและประชาชนทั่วโลกเห็นว่าประเทศไทยไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหา”
นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังต้องเข้าถึงช่องทางออนไลน์ให้มากขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันใช้สื่อดิจิทัลเป็นช่องทางหลักในการรับข้อมูลข่าวสาร การสร้างกระแสข่าวเชิงบวกในโลกออนไลน์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงการออกแถลงข่าวผ่านสื่อหลักเท่านั้น
นายศิษฎิวัชร กล่าวต่อว่า จุดอ่อนสำคัญของภาครัฐไทยคือความล่าช้าในการตอบสนองต่อข่าวสารด้านลบ และการไม่พูดถึงปัญหาในเชิงลึก เพราะเกรงว่าจะสร้างผลกระทบในวงกว้าง ทั้งที่ในความเป็นจริง ความเชื่อมั่นจะกลับมาได้ ก็ต่อเมื่อมีการยอมรับและแก้ไขปัญหาอย่างตรงไปตรงมา
“การไม่ยอมเปิดเผยแผนการหรือท่าทีของรัฐบาลต่อปัญหาในภูมิภาคเป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวต้องการความชัดเจนและความมั่นใจ ไม่ใช่แค่ข่าวดีเพียงด้านเดียว แต่ต้องมีข้อเท็จจริงที่แสดงว่ารัฐกำลังลงมือทำอะไรอยู่”
ในช่วงหลังจากเกิดกระแสข่าวเชิงลบต่อเนื่อง ปรากฏว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยเริ่มเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย จากเดิมที่เป็น “นักท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อน” (leisure travelers) กลายเป็นกลุ่มที่เดินทางด้วยเหตุผลอื่น เช่น นักธุรกิจ นักเรียน หรือผู้มีวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึ่งแม้จะมียอดเดินทางเข้าประเทศ แต่ไม่ได้มีผลเชิงบวกกับภาคการท่องเที่ยวเท่ากับนักท่องเที่ยวแท้จริง
“สิ่งที่หายไปไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือคุณภาพของนักท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจฐานราก เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ผู้ประกอบการขนาดเล็ก ร้านขายของที่ระลึก และระบบขนส่งท้องถิ่น ซึ่งทุกภาคส่วนล้วนได้รับผลกระทบไปพร้อมกัน”
อย่างไรก็ตาม นายศิษฎิวัชร กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการใน 3 เรื่องหลักคือ
“หากสามารถดำเนินการได้ทันเวลา ก็มีโอกาสที่ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของไทยจะฟื้นคืนกลับมา และดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพกลับคืนสู่ประเทศได้อีกครั้งในอนาคตอันใกล้”