เมื่อเวลา 16.45 น. วันที่ 23 ตุลาคม ที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เดินทางมารับร่าง นายสนธยา อัครศรี แรงงานไทยในอิสราเอลที่เสียชีวิตจากเหตุสงครามอิสราเอล-ฮามาส หลังถูกจับเป็นตัวประกันตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2566 โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และ ดร.อโลนา ฟิชเชอร์-คัมม์ เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอล ประจำประเทศไทย เข้าร่วม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสนธยา อัครศรี อายุ 30 ปี ภูมิลำเนา จังหวัดหนองบัวลำภู เดินทางไปทำงานเป็นเกษตรกร และเสียชีวิตจากการที่กลุ่มฮามาสได้จับเป็นตัวประกัน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยร่างถูกนำส่งโดยสายการบินอิสราเอล แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ LY083 นำร่างของนายสนธยา เดินทางจากกรุงเทลอาวีฟ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม เวลา 00.55 น. และมาถึงยังท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ในวันนี้ เวลา 16.35 น.

ต่อมาเวลา 17.35 น. เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนย้ายร่างของนายสนธยามายังพื้นที่บริเวณคลังสินค้า อาคารสำนักงานเขตปลอดอากร ท่าอาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ซึ่งร่างถูกบรรจุมาในโลงพร้อมดอกไม้แสดงความอาลัย ในการนี้ น.ส.ตรีนุช พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน, ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ร่วมวางพวงหรีด และยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยผู้วายชนม์ 1 นาที ก่อนยืนส่งร่างผู้เสียชีวิตขึ้นรถตู้ของบริษัทสุริยาหีบศพ เพื่อเคลื่อนย้ายร่างออกจากพื้นที่ไปยังภูมิลำเนาต่อไป
หลังจากนั้น น.ส.ตรีนุช พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ได้โทรศัพท์ผ่านการวิดีโอคอล ไปยังครอบครัวของนายสนธยา เพื่อมอบกำลังใจและยืนยันการดูแลครอบครัวอย่างเต็มที่

น.ส.ตรีนุชเปิดเผยว่า ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของนายสนธยา ที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป ขอให้กำลังใจกับทั้งคุณพ่อและคุณแม่ และลูกสาวของคุณสนธยา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ขอเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยพานายสนธยากลับบ้าน หลังจากที่ไม่ได้อยู่กับครอบครัวนานถึง 7 ปี โดยกระทรวงแรงงานได้ส่งเจ้าหน้าที่ 5 เสือแรงงาน จังหวัดหนองบัวลำภู เข้าประสานดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิต
น.ส.ตรีนุชกล่าวต่อว่า สำหรับสิทธิประโยชน์ที่ทายาทจะได้รับกรณีเสียชีวิตของนายสนธยา ทางกระทรวงแรงงานจะดูแลเรื่องการเยียวยาและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ครอบครัวของนายสนธยาพึงได้รับอย่างเต็มที่ โดยขณะนี้ได้มีการดำเนินการไปแล้วในหลายๆส่วน เช่น เงินชดเชยจากสถาบันประกันภัยอิสราเอล หลังจากที่ได้รับร่างของนายสนธยากลับคืนมายังประเทศไทยแล้ว จำนวน 5 ส่วน ดังต่อไปนี้
1. เงินช่วยเหลือค่าชดเชยการไว้ทุกข์ประมาณ 80,000 บาท
2. ค่าใช้จ่ายในการจัดการศพ จ่ายตามจริงไม่เกิน 40,000 บาท
3. เงินชดเชยรายเดือนให้กับทายาทผู้เสียชีวิต ประมาณ 80,000-120,000 บาท ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน
4. เงินช่วยเหลือประจำปี 40,000 บาท
5. เงินช่วยเหลืออื่นๆ เช่น ค่าเล่าเรียนบุตร เงินช่วยเหลือทางจิตวิทยา อีกจำนวนหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีเงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง ที่เรียกว่า ปิซูอิม ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตามขอรับเอกสารที่เกี่ยวข้องจากทายาท

น.ส.ตรีนุชกล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ได้มีการจ่ายเงินสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของกรมการจัดหางาน กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ กรณีเสียชีวิตในต่างประเทศให้กับครอบครัวไปเรียบร้อยแล้ว จำนวน 40,000 บาท และในส่วนของสำนักงานประกันสังคม ได้ดำเนินการจ่ายเงินสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพให้กับทายาท อีกจำนวน 10,042.16 บาท รวมถึงเงินช่วยเหลือกรณีฉุกเฉินสำหรับครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในอิสราเอลในส่วนของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวน 3,000 บาท
“ในส่วนของการส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศอิสราเอล กระทรวงแรงงานได้ประกาศยกเลิกการชะลอการส่งแรงงานไทยไปอิสราเอลแล้ว โดยขณะนี้มีแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในอิสราเอล ประมาณ 40,461 คน แบ่งออกเป็น ภาคเกษตร จำนวน 31,786 คน ภาคก่อสร้าง 6,307 ภาคอุตสาหกรรมการผลิต 508 คน ภาคบริการ 1,830 คน และอื่นๆ อีก 30 คน” น.ส.ตรีนุชกล่าว

น.ส.ตรีนุชกล่าวด้วยว่า จากเหตุการณ์โจมตีฉนวนกาซา โดยกลุ่มฮามาส ส่งผลให้มีแรงงานไทยเสียชีวิตจำนวน 42 ราย ส่งร่างกลับประเทศไทยแล้วจำนวน 41 ราย และยังไม่ได้ส่งร่างกลับอีก 1 รายคือ นายสุทธิศักดิ์ รินทลักษณ์ ซึ่งถูกจับเป็นตัวประกัน และต่อมาได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตอย่างเป็นทางการจากทางอิสราเอลเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งทางกระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ติดตามและประสานกับทางทูตฝ่ายแรงงานฯ อย่างใกล้ชิด
“ดิฉันขอยืนยันว่าจะให้การดูแลแรงงานไทยทุกคนที่ไปทำงานในต่างประเทศให้ได้รับการดูแล การคุ้มครองสิทธิ รวมไปถึงความปลอดภัยในการที่พวกท่านจะต้องออกไปทำงานต่างบ้านต่างเมือง เพื่อนำรายได้กลับเข้าประเทศ อย่างเต็มที่” รมว.แรงงานกล่าว







