| ผู้เขียน | มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด |
|---|
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ประเทศไทยได้สูญเสียนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความสามารถที่สุด มีความตงฉินมากที่สุด และซื่อตรงต่อเกษตรกรมากที่สุดคนหนึ่งไปอย่างสงบ ท่านก็คือศาสตราจารย์พิเศษอัมมาร สยามวาลา อดีตประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า ทีดีอาร์ไอ ผู้เขียนขอถือโอกาสนี้เล่าถึงข้อคิดความเห็นของอาจารย์อัมมารเพื่อเป็นแสงส่องทางให้กับนโยบายของรัฐบาลใหม่ของเรา
ก่อนอื่นก็อยากจะเริ่มต้นโดยการให้กำลังใจรัฐบาลใหม่ว่าถ้าอาจารย์อัมมารยังมีชีวิตอยู่ท่านก็คงยินดีที่จะเห็นนโยบายที่รัฐมนตรีคนนอกคือท่านซุปเปอร์จี ได้พยายามลดค่าใช้จ่ายของประชาชนด้านการรักษาพยาบาล เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านเคยกล่าวกับผู้เขียนว่า ควรจะมีนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเพราะสูงเกินกำลังแม้แต่สำหรับชนชั้นกลางไทย (ภาษาเศรษฐศาสตร์ หมายความว่ามีกำไรเกินปกติ) นโยบายของรัฐมนตรีใหม่ที่จะให้มีการเปิดเผยข้อมูลราคายาในท้องตลาดกับราคายาของโรงพยาบาลเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจว่าจะซื้อจากโรงพยาบาลหรือจะซื้อจากร้านขายยาด้วยตนเอง เป็นวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ไม่เข้าไปควบคุมกลไกตลาดแต่เลือกที่จะเพิ่มข้อมูลเพื่อให้ตลาดทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ก็ขอปรบมือให้นโยบายต้นทุนต่ำ ที่ไม่มีค่าหัวคิว หรือเงินทอน ไม่มีต้นทุนที่เป็นภาระงบประมาณของรัฐ และยังเป็นนโยบายประชานิยมที่ดีตรงกับหลักเศรษฐศาสตร์
ถึงแม้อาจารย์อัมมารจะทำงานเกี่ยวกับสุขภาพในระยะหลัง แต่ความเชี่ยวชาญของอาจารย์จะอยู่ในภาคเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้กับรัฐบาลในเรื่องของการเก็บภาษีส่งออกข้าวที่เรียกกันว่าพรีเมียมข้าว และต่อมาก็เป็นการต่อสู้กับรัฐบาลอย่างจริงจังในเรื่องของการบิดเบือนกลไกตลาดข้าวโดยใช้นโยบายจำนำข้าว จนกระทั่งท่านผู้นำรัฐบาลในยุคนั้นเรียกอาจารย์ว่า “ขาประจำที่เป็นขาใหญ่” ซึ่งในที่สุดก็พิสูจน์แล้วว่านโยบายนี้จบลงโดยมีต้นทุนที่เป็นภาระงบประมาณต่อมาเป็นแสนล้านบาท มีข้าวเน่าเต็มโกดัง ชาวนาติดกับดักนโยบายประชานิยมด้วยเหตุผลทางการเมือง และผลที่ตามมาในระยะยาวก็คือเราสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกของข้าวตลอดห่วงโซ่การผลิตให้กับประเทศเวียดนามและอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่เคยตามหลังไทยในด้านการส่งออก และอินเดียยังเคยเป็นประเทศที่ขาดแคลนข้าวด้วยซ้ำ สมกับที่
อาจารย์อัมมารเคยกล่าวว่า…“ที่ผมเชื่อใน ‘ตลาด’ ไม่ใช่เพราะผมหลงใหลหรือเชื่อว่าตลาดให้สวัสดิภาพและสวัสดิการกับประชาชนหรือมีความวิเศษวิโสอะไรหนักหนาหรอก แต่เป็นเพราะผมหมดหวังในรัฐบาล”…
ในขณะที่รัฐบาลในหลายยุคหลายสมัยมีความเห็นว่าเกษตรกรเป็นพวกไม่มีความรู้ ต้องการการชี้นำ ไปสู่นโยบายที่มีลักษณะ “จากบนลงล่าง” ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของเกษตรกรและไม่มีกลไกที่เกษตรกรจะสามารถสะท้อนปัญหามาสู่ระบบวิจัยของรัฐซึ่งทำให้ระบบการส่งเสริมเกษตรเท่าที่เป็นอยู่จะมีหรือไม่มีก็เท่ากัน อาจารย์อัมมารกลับมีความเห็นว่าเกษตรกรก็ไม่ได้แตกต่างไปจากผู้มีอาชีพอื่น กล่าวคือเป็นผู้มีเหตุผล สามารถตัดสินใจด้วยตนเอง และทำกิจกรรมที่เกิดประโยชน์สูงสุดตามแรงจูงใจที่มีและเป็นอยู่ได้ แต่การที่เกษตรกรเป็นคนจนหรือขาดการผลิตที่มีประสิทธิภาพนั้นเกิดจากข้อจำกัดด้านทรัพยากรและเทคโนโลยีเป็นหลัก อาจารย์อัมมารเห็นว่ารัฐบาลจะรับใช้เกษตรกรได้อย่างดีที่สุดก็เมื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรมีทางเลือกที่หลากหลาย มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากร ไม่ไปริบที่ดินทำกินจากประชาชน แต่ควรให้หลักประกันว่ามีการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยุติธรรม
ประเด็นสำคัญเชิงนโยบายไม่ใช่การทำให้เกษตรกรอยู่ในภาคเกษตรกรรมได้อย่างยั่งยืนโดยอาศัยการปกป้องการเกษตร แต่รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับนโยบายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ฐานทรัพยากรมีความยั่งยืนสำหรับการเกษตร เช่น การจัดสรรและอนุรักษ์ดินและน้ำมีคุณภาพ เกษตรกรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
อาจารย์อัมมารมีวิสัยทัศน์ว่าภาคเกษตรของไทยเริ่มสูญเสียความสามารถในการแข่งขันตั้งแต่ในช่วงเวลาที่ข้าราชการและเอ็นจีโอยังคิดอย่าง โรแมนติกว่าภาคเกษตรของไทยเข้มแข็ง เพราะในช่วงที่ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวอย่างรวดเร็ว ต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานมีราคาสูงขึ้นคนหนุ่มคนสาวออกจากภาคเกษตรเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมที่มีค่าตอบแทนสูงกว่า ทำให้ต้นทุนการเกษตรคือแรงงานมีราคาสูงตามไปด้วย (ซึ่งศัพท์เศรษฐศาสตร์เรียกว่าติดโรคดัตช์) แต่หลังจากนั้นมาเราก็เข้าสู่ยุครัฐบาลประชานิยมที่รับจำนำข้าว เสนอแรงจูงใจให้เกษตรกรสนใจการผลิตข้าวอายุสั้น คุณภาพต่ำ ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อปรับปรุงผลิตภาพการผลิต ขอเพียงให้ผลิตได้หลายรอบจึง ไม่ส่งเสริมการปรับโครงสร้างการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ดูจากภาพประกอบบทความนี้ก็จะเห็นว่าผลผลิตภาคเกษตรมีแทบจะเป็นเส้นขนานหมายความว่า ไม่มีการเติบโตเป็นหลายทศวรรษ ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลใหม่ควรใช้นโยบายเกษตรที่จูงใจให้เกษตรกรมีการปรับโครงสร้างการผลิตใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ลดการใช้แรงงานต่างด้าว เช่นสนับสนุนการใช้เครื่องจักรไถตอซังข้าวเพื่อลดการเผาและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
จึงเรียนมาเพื่อให้เป็นข้อมูลกับรัฐบาลใหม่ ให้หานวัตกรรมทางนโยบายใหม่ที่อาจเป็นประชานิยมก็ได้แต่สามารถปรับโครงสร้างการผลิตให้เหมาะสมกับเกษตรยุคใหม่
ที่มา : ตัดตอนข้อมูลบางส่วนมาจาก มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด 2540 “หิ่งห้อยในเกษตรกระแสหลัก” ครบรอบ 60 ปี อาจารย์อัมมาร มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
