ปั้นเงินน้อยสู่เงินล้าน ด้วยสูตร MPT + DCA คู่หูนักลงทุนฝ่าวิกฤตการเงินโลก
GH News October 25, 2025 10:40 AM
โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ช่วงนี้ ลูกค้า Jitta Wealth ถามกันเข้ามามากว่า เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นกันครับทำเอาหุ้นสหรัฐที่พุ่งทำนิวไฮมา 4-5 เดือน ตอนนี้เสียศูนย์ไปซะแล้ว เมื่อตลาดสะดุดเกมพลิกลิ้นไปมาของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐขู่ขึ้นภาษีจีนมหาศาลอีกครั้ง กระชากหุ้นสหรัฐร่วงระเนระนาด

แต่เชื่อมั้ยว่า รอบนี้ที่หุ้นสหรัฐร่วงลง นักลงทุนส่วนใหญ่แห่เข้ามาช้อนซื้อเก็บหุ้นถูกกันครับ แม้แต่ลูกค้าของผมก็ขอเพิ่มทุนกันสนุกเชียวครับ เวลานี้ทุกคนพร้อมใจกันเก็บของดีราคาถูกราวกับมืออาชีพเดินตามรอยคุณปู่ Warren Buffett ที่ย้ำเสมอว่า “หุ้นขึ้นให้ขายทำกำไร หุ้นลงให้ซื้อ”

“ทรัมป์-สีจิ้นผิง” คู่หยุดโลกร่วมประชุม APEC ปลาย ต.ค.

จริง ๆ ตลาดหุ้นอึมครึมช่วงนี้อาจเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ ก็ได้ ส่วนตัวผมมองว่า ทรัมป์เป็นคนฉลาดและเข้าใจเรื่องหุ้นดี ถ้าสังเกตดี ๆ เวลาที่เขาออกมาทำอะไรแบบนี้ จะเป็นช่วงใกล้ประกาศงบการเงินของบริษัทจดทะเบียน อย่างช่วงต้นเดือนเมษายนที่เขาได้ประกาศปลดแอก (Liberation Day) เกิดขึ้นหลังการปิดงบฯ ไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียน และจะประกาศตัวเลขงบฯ ภายในช่วงเวลา 45 วันหลังสิ้นไตรมาสนั้น ๆ

ซึ่งบริษัทจะประกาศงบฯ ภายในช่วงวันที่ 15 พ.ค. 2568 หมายความว่า หากทำอะไรแรง ๆ ในช่วงเวลานั้นให้ตลาดหุ้นแกว่งไกว ขณะที่มีการประกาศผลกำไรออกมาดี เช่น กลุ่ม AI ที่ทำกำไรเติบโตเกินคาด นักลงทุนก็จะเห็นว่าเป็นโอกาสลงทุนและกลับเข้ามาลงทุนตามคาดการณ์ผลประกอบการที่เป็นบวก

ครั้งนี้ก็คล้าย ๆ กันเกิดขึ้นต้นเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐร้อนแรงทำ All Time High ไม่มีพัก และยังมีกระแสฟองสบู่ AI อีก ซึ่งไม่มีข่าวที่ทำให้ตื่นเต้นอีกแล้ว เมื่อจีนออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ทรัมป์จึงโพสต์โซเซียล “ขู่ขึ้นภาษีจีน” ทำเอาตลาดหุ้นตกกันมากมาย แต่ทรัมป์รู้ดีว่าเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดจะทยอยประกาศงบฯ ไตรมาส 3 ออกมา ซึ่งจะมีตัวเลขกำไรของบริษัทใหญ่ ๆ ออกมาช่วยเรียกให้เงินไหลกลับตลาดได้

ผมจึงมองว่า ตลาดหุ้นตกรอบนี้ไม่น่าจะมากนัก และภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ภาพทั้งหมดก็น่าจะมีความชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะระหว่างสหรัฐกับจีนมากขึ้น เพียงแต่ในช่วงระหว่างทางนี้ “สหรัฐ-จีน” จะฮึ่ม ๆ ใส่กันอยู่ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวมากครับ

โลกยังแฝงความกังวลไปกับการพบปะของคู่หยุดโลก “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ “สีจิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน ในการประชุมสุดยอดเวทีความร่วมมือเศรษฐกิจเอเซียแปซิฟิก หรือ APEC 2025 ในวันที่ 31 ต.ค. และ 1 พ.ย. นี้

มุมมองของผม ทั้งสองฝ่ายได้วางกลยุทธ์มาแล้ว เตรียมจะหงายไพ่เจรจาต่อรองกันอย่างทัดเทียม เช่น ทรัมป์มีเรื่องของภาษีสินค้านำเข้าอยู่ จีนก็มีเรื่องของแร่ Rare Earth ที่สหรัฐยังต้องพึ่งพิงแร่นี้จากจีนถึง 60% ของการผลิตทั้งหมด ส่วนจีนเป็นผู้ส่งออก Rare Earth ถึง 90% ของทั้งโลก ซึ่งสหรัฐ คือลูกค้าใหญ่สุดที่ต้องการใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงต่าง ๆ ผมเชื่อว่าในที่สุดทั้งสองฝ่ายจะเจรจาตกลงกันได้เพื่อที่จะเดินหน้าเศรษฐกิจกันต่อไป

นอกจากนี้ ในทริปเยือนเอเชียครั้งนี้ สหรัฐอาจจะเตรียมแผนพบปะนอกรอบกับเกาหลีเหนือ “ทรัมป์-คิมจองอึน” ซึ่งปมขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยหลักอีกตัวหนึ่งที่จะเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับโลกในระยะข้างหน้าอย่างน้อยก็ 3 ปีกว่าที่ทรัมป์ยังอยู่ในวาระประธานาธิบดีสหรัฐครับ

“ท่าทีของทรัมป์ที่มักพลิกกลับกลับมา” กลายเป็นสิ่งที่นักลงทุนคาดเดาได้อยู่แล้วว่า เขาเป็นแบบนี้ หลังจากที่ช่วงแรก ๆ ทุกคนตกใจกันมากกับสงครามการค้าที่เกิดขึ้น ทุกคนกลัวว่าโลกจะมีวิกฤตกันหมด

เทขายสินทรัพย์หนีตายกันอย่างที่เห็นในเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ตอนนี้นักลงทุนเริ่มเทขายน้อยแล้ว ทุกคนชินและหลาย ๆ คนก็รอช่วงตลาดตก เพื่อจะเข้าซื้อมากกว่าจะถอนตัวออกครับ

หุ้นสหรัฐติดโซนแพง ลุ้น EPS โต – คาด FED ลดดอกเบี้ยต่อ

สถานการณ์หุ้นโลกในวันนี้ ปัจจัยสงครามการค้ารอบใหม่น่าจะฉุดตลาดแกว่งไกวระยะสั้นมากกว่า แต่จริง ๆ สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่า คือ กระแสข่าว “หุ้นสหรัฐเป็นฟองสบู่หรือเปล่า?”

ส่วนตัวผมมองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐ ณ ปัจจุบันมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงขึ้น เพราะตลาดปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง ผมย้ำว่า หุ้นสหรัฐไม่ได้ถูกแล้ว ตอนที่หุ้นสหรัฐถูกมาก ๆ คือ ปี 2023 -2024 ซึ่งก็ปรับตัวขึ้นมากันปีละ 20% แล้ว และปีนี้ 2025 ยังปรับตัวขึ้นร้อนแรงทำ All Time High อย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่า “เต็มมูลค่าระดับนึงแล้ว”

ปกติ ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ด้วย 2 ปัจจัยหลัก คือ EPS Growth (การเติบโตของกำไร) และ PE (ราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น) หากดูความคาดหวังของนักลงทุน ตอนนี้ PE ขึ้น มาอยู่ในระดับเต็มที่แล้ว สิ่งที่จะทำให้หุ้นสหรัฐจะปรับตัวขึ้นต่อได้ คือ EPS Growth อย่างเดียว ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่ราคาหุ้นจะปรับขึ้นต่อ

โดยต้องยอมรับว่า การทำกำไรของบริษัทในตลาดอเมริกาในปีนี้จะดีจริง เพราะนอกจากกลุ่มบริษัทเทคโนโลยที่เป็น AI ก็ยังมีบริษัทอื่น ๆ ที่นำ AI ไปใช้ในการช่วยลดต้นทุนดำเนินงานด้วย และจะเห็นการปลดคนงานที่ AI ทำแทนได้

ผมกำลังชี้ให้เห็นว่าหุ้นสหรัฐเหลือตัวเดียวที่จะทำให้ราคาไปต่อได้ คือ EPS Growth เพราะฉะนั้นต้องบอกว่าตอนนี้จาก PE ที่สูง ทำให้หุ้นสหรัฐมีความเสี่ยงที่สูงขึ้น ถ้าใครจะลงทุนต้องพิจารณาให้ดี แต่อีกมุมนึง EPS Growth ยังเติบโตได้สูง ก็อาจะทำให้ PE ลดทอนความแพงของหุ้นลงมาได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาก่อนการประชุม APEC จะเกิดขึ้นไม่กี่วันนั้น ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งตลาดปรับเพิ่ม “โอกาสที่ FED จะลดดอกเบี้ย” ต่อเนื่องในรอบนี้เป็น 100% แล้ว!

แต่… คำถามสำคัญคือ “ลดดอกเบี้ย” ด้วยเหตุผลอะไร? ในเมื่อ “ทรัมป์” ยังบอกอย่างมั่นใจว่า “เศรษฐกิจสหรัฐกำลังอยู่ในสภาพที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ” ท่ามกลางปัญหา US Shutdown ที่ตลาดคาดว่าจะยืดยาวขึ้นเป็น “40 วัน” แล้ว จากเดิมที่เคยประเมินไว้ 10 วัน ซึ่งเราต้องรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจรายเดือน เงินเฟ้อ ตลาดแรงงานที่จะออกมา

จะเห็นภาพสิ่งที่ทรัมป์พูดเป็นคนละม้วนกับสถานการณ์เศรษฐกิจ บริษัทใหญ่ต่างปลดคนงานและใช้ AI แทน และปัญหาหนี้สาธารณะที่ยังที่หน่วงบรรยากาศการลงทุนในช่วงเวลานี้มีความผันผวนสูง

คงจำกันได้หลังจากที่ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีจีน 100% เมื่อต้นเดือนตุลาคม ได้ลากตลาดหุ้นสหรัฐร่วงเป็นทะเลแดงเดือดและอีกหลาย ๆ ประเทศรวมถึงจีน แต่เมื่อทรัมป์กลับลำว่า ภาษีสินค้าจีนในระดับสูงนี้ “จะไม่คงอยู่ตลอดไป” ก็พลิกตลาดหุ้นสหรัฐดีดกลับมาบวกอย่างรวดเร็ว

Rebalance หุ้นสหรัฐกำเงินรอเพิ่มทุน

ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีก เราอย่าไปคาดเดาเลยครับ ผมว่าเราหันมาวางแผนลงทุนดีกว่า เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ควบคุมได้ การยึดหลักการลงทุนที่ถูกต้องและจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite Port ผมเชื่อว่า พอร์ตของคุณไม่น่าจะมีปัญหาครับ ยิ่งใครที่ถือหุ้นสหรัฐอยู่ในพอร์ต Core ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี มาถึงช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐเข้าสู่โซนแพงแบบนี้น่าจะเห็นกำไรเติบโตตามตลาดแน่นอน

ผมจะแนะนำให้ “Rebalance” ขายออกทำกำไรส่วนหนึ่ง เพราะหากถือไว้มากเกินไป จะทำให้พอร์ตเสี่ยงบิดเบี้ยวจากน้ำหนักของหุ้นสหรัฐที่ถ่วงเกินสมดุล จนกระทบต่อเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตในระยะยาวได้

ปกติ ผมจะคอยเตือนลูกค้าเมื่อพอร์ตเริ่มเสียสมดุล จะให้คำแนะนำขายทำกำไรในส่วนที่เกิน เนื่องจากหลักการจัด Core & Satellite Port เป็นที่นิยมมาก และจะจัดน้ำหนักลงทุนของพอร์ต Core สัดส่วน 80% ของพอร์ตรวม ไส้ในจะกระจายสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ความเสี่ยงต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะให้น้ำหนักหุ้นครึ่งหนึ่ง และพอร์ต Satellite สัดส่วน 20% เน้นลงทุนหุ้นหรือทองคำที่อยู่ในกระแสแรง ๆ มีโอกาสคว้ากำไรในระยะสั้น

สำหรับเงินที่ได้กำไรจากการขายออก คุณสามารถเลือกที่จะพักเงินในพันธบัตรก่อน ซึ่งหากเป็นพันธบัตรสหรัฐ ปัจจุบันยังให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ เนื่องจากดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับกว่า 3% และรอเข้าลงทุนใหม่ในช่วงที่หุ้นสหรัฐปรับฐานลงหรือกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ตลาดหุ้นยังมีราคาถูกและสามารถเติบโตไปข้างหน้าได้ตามโลกยุค AI เพราะฉะนั้น เมื่อมีจังหวะดี ๆ แนะนำ ‘ลงทุนเพิ่ม’ เพื่อทำพอร์ตให้เติบโตในระยะยาว

ส่วนพอร์ต Satellite ผมยังแนะนำให้มีหุ้นจีนติดพอร์ตนี้ไว้ด้วยครับ เพราะจีนมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐ ซึ่งหุ้นจีนยังอยู่ในโซนถูก พอร์ตใครที่ยังลงทุนหุ้นสหรัฐ ผมก็แนะนำขายมีกำไรแล้ว เพราะคุณต้องระวังความเสี่ยงให้มาก ๆ เข้าไว้แล้ว เช่นเดียวกัน เงินที่ได้กำไรจากการขายหุ้นสหรัฐสามารถนำมาลงทุนตลาดหุ้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีน หรือเวียดนามที่ตลาดหุ้นเพิ่งถูกเลื่อนให้เป็นตลาดเกิดใหม่ มีผลในปี 2569

จริง ๆ ที่ผมเชียร์หุ้นจีนติดไว้ในพอร์ต Satellite และหุ้นสหรัฐที่ยังถือไว้อยู่ในพอร์ต Core เนื่องจากแม้ว่าจีนจะเป็นคู่แข่งอันดับต้นที่สร้างความกังวลให้กับสหรัฐ แต่จะเห็นว่าสหรัฐไม่ได้ยอมง่าย ๆ จึงทำให้เกิดสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีขึ้นมาทุกวันนี้ เพื่อที่จะทำให้สหรัฐยังเป็นผู้นำโลกต่อไปได้

แน่นอนว่า วันนี้ เส้นทางสุดท้ายของทั้งสองมหาอำนาจโลก คงไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะเป็นผู้ชนะ แต่เชื่อว่า สหรัฐยังคงเป็นพี่ใหญ่ต่อไปได้แม้จะไม่ได้อยู่ในภาคพี่ใหญ่นำเดี่ยวเหมือนอดีตแล้ว แต่ก็ยังคงครองความเป็นผู้นำเบอร์ต้น ๆ ของโลกต่อไปได้ รวมถึงผู้นำในการสร้างการเติบโตให้กับนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ด้วย

ซึ่งผมมักนึกถึงคำพูดของคุณปู่ Buffett เสมอที่บอกว่า “Don’t bet against America” หรืออย่าแทงสวนอเมริกา เพราะเราสามารถเกาะการเติบโตไปกับสหรัฐได้ ฉะนั้นดัชนี S&P 500 ยังมีความสำคัญที่จะอยู่ในพอร์ตลงทุนต่อไปได้

ผมมั่นใจว่า เรายังต้องอยู่ในสถานการณ์ของโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง แม้ในปลายเดือนตุลาคม เราอาจจะเห็นสถานการณ์ต่าง ๆ ชัดเจนขึ้นทั้งทิศทางดอกเบี้ยของเฟด การส่งสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐและข้อตกลงการค้าสหรัฐ-จีน ปัญหาชัตดาวน์ แต่ในระยะข้างหน้า ยากจะบอกได้ว่าจะมีข่าวร้ายข่าวดีอะไรขึ้นมาอีก

หากเป็นข่าวดีก็แน่นอนทุกคนแฮปปี้กับราคาที่ยังไปต่อไหว แต่หากโลกเกิดข่าวร้าย ฝั่งหุ้นสหรัฐที่อยู่ในโซนแพง อาจจะปรับตัวลดลงมาแรง ส่วนหุ้นจีนที่อยู่ในโซนถูก อาจจะตกลงมาไม่ได้มากเท่าไหร่ หากคุณจัดน้ำหนักของ 2 ประเทศนี้ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงแล้ว พอร์ตของคุณมีโอกาสที่จะขาดทุนน้อยลงได้ครับ

จัดพอร์ตแนว MPT กระจายลงทุนคู่ DCA ปั้นเงินน้อยเป็นล้านได้

จริง ๆ ผมจะให้ลูกค้า Jitta Wealth วางแผนจัดพอร์ต Core & Satellite อยู่แล้ว โดยพอร์ต Core จะแนะนำให้ลงทุนผ่าน Global ETF เพราะ ผมเน้นบริหารเงินลงทุนอย่างเป็นระบบตาม Modern Portfolio Theory หรือ MPT ซึ่งเป็นงานวิจัยรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ของแฮรี่ มาร์โควิซ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่ได้นำเสนอหลักการกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท และมีทิศทางการขึ้นลงของราคาไม่สัมพันธ์กันมากนัก ซึ่งจะช่วยประคองพอร์ตให้ไม่ขาดทุนหนัก ๆ ลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวมได้

คุณอาจจะคุ้นเคยกับคำว่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าหลายใบ หลักการคล้ายกันครับ คือการกระจายสินทรัพย์ แต่ MPT จะชี้ชัดว่าควรเป็นสินทรัพย์ที่การขึ้นลงของราคาไม่ค่อยสัมพันธ์กัน กล่าวคือ ต้องเป็นสินทรัพย์ที่ราคาไม่ค่อยผันผวนในทิศทางเดียวกัน ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น สินทรัพย์หนึ่งราคาอาจจะตก แต่อีกสินทรัพย์หนึ่งราคาอาจจะขึ้น แบบนี้แล้วต่อให้ทรัมป์จะประกาศอะไรออกมา หรือเกิดสงครามที่หนึ่งที่ใดของโลก ผลตอบแทนพอร์ตโดยรวมก็จะไม่ผันผวนมากนัก

การเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ดีราคาเหมาะสม เป็นหลักการที่ถูกต้องครับ แต่คุณอาจจะยังไม่รู้ว่า แท้จริงแล้ว การจัดสรรสินทรัพย์คือปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลตอบแทนของพอร์ตในระยะยาวมากที่สุด!

หากคุณสามารถจัดพอร์ตตามหลัก MPT ควบคู่ไปกับการ DCA จะยิ่งทำให้คุณกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ได้อย่างดี และยังกระจายความเสี่ยงในแต่ละช่วงเวลาไปพร้อมกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นเก็บออมเงินลงทุนด้วยเม็ดเงินก้อนเล็ก ๆ ให้เติบโตระยะยาว ท่ามกลางตลาดที่ผันผวนไปอีกยาวนาน นี่คือเคล็ดลับความสำเร็จของการลงทุนระยะยาวที่รอให้คุณพิสูจน์อยู่ครับ

ผมลองคำนวณให้ดูเล่น ๆ ถ้าคุณสามารถจัดพอร์ตให้ได้ตามหลัก MPT และสร้างผลตอบแทนได้ในระดับ 7% ต่อปี บวกกับพลังของการ DCA เดือนละ 1,000 บาท ผ่านไป 30 ปี คุณจะมีเงิน 1.18 ล้านบาท หากคุณลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆ เวลาผ่านไปคุณอายุ 40-50 ปี คุณมีเงินก้อนล้านในมือแล้ว

แต่ถ้าขยับเป็น 5,000 บาทต่อเดือน คุณจะเห็นเงินล้านได้ใน 15 ปี และถ้าลงทุน 10,000 บาทต่อเดือน ไม่ถึง 10 ปีก็มีเงินล้านกำในมือแล้วครับ แน่นอนกว่าซื้อลอตเตอรี่ครับ

เพราะการลงทุน ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าเรามีเงินตั้งต้นเท่าไหร่ แต่อยู่ที่ว่าเราลงทุนสม่ำเสมอ DCA ได้แค่ไหน ‘เวลา’ และ ‘พลังดอกเบี้ยทบต้น’ จะช่วยขยายผลลัพธ์ให้เติบโตได้มากกว่าที่คุณคิด

ทุกวันนี้ ผมเชื่อว่ายังมีคนไทยจำนวนมากที่อยากลงทุนหุ้นและสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ติดปัญหามีเงินน้อย ทำให้ไม่กล้าเสี่ยง หรือมีเงินออมเยอะอยู่แต่กลัวลงทุนแล้วเจ๊ง ทำให้ติดกับดักเก็บเงินฝากในธนาคารทนรับดอกเบี้ยต่ำ ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามีทางเลือกแต่ไม่กล้าออกจาก safe zone

ผมขอบอกเลยว่า คุณหยุดความเชื่อที่ว่า…ต้องมีเงินเยอะ ๆ ก่อนถึงจะลงทุนได้ หรือเงินน้อย ลงทุนไปก็ได้กำไรนิดเดียว อะไรที่คุณกลัว ขอเพียงคุณทำการบ้านศึกษาการลงทุนนั้น ๆ ให้มีความรู้ความเข้าใจหรือคุยกับที่ปรึกษาการลงทุนผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ

อย่างน้อยคุณจะได้ตัดสินใจถูกว่า จะวางแผนการเงินการลงทุนอย่างไรให้เงินออมเติบโตในระยะยาวและรองรับชีวิตก่อนวัยเกษียณครับ และยิ่งทำ DCA ไปด้วย ทำให้มีต้นทุนถัวเฉลี่ย ก็จะยิ่งทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ยามตลาดผันผวน พอร์ตคุณก็จะผันผวนต่ำกว่าตลาด เท่ากับจะข่วยให้คุณเป็นผู้ชนะไปถึงเป้าหมายเร็วแน่นอน

ผมมั่นใจว่า คุณเริ่มต้นวางแผนลงทุนวันนี้ คุณจะมีอิสรภาพทางการเงินที่เร็วขึ้น ไม่ต้องทำงานเก็บเงินจนวัยเกษียณเพื่อรอเงินก้อนบำเหน็จบำนาญหรอกครับ

ถ้าอยากมีชีวิตที่มั่นคงในอนาคต ไม่ต้องรอจนตลาดดีน่าลงทุน เพราะฤกษ์ดีที่สุดในการลงทุน คือ “วันนี้” ครับ ถึงเวลาคว้าโอกาสลงทุนเกาะกระแสการเติบโตในยุคที่โลก AI ครองเมือง ปั้นเงินน้อยให้เป็นเงินล้านอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมครับ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.