ผู้สูงวัย คือกลุ่มเป้าหมายสำคัญของเหล่ามิจฉาชีพ จากข่าวในหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เราพบอย่างต่อเนื่อง กลวิธีที่ใช้หลอกผู้สูงอายุจนเชื่อใจคืออะไร เราจะมาแฉพร้อมวิธีป้องกันผู้สูงวัยใกล้ตัวให้ห่างไกลคนโกง
แม้ว่าข้อมูลจากรายงานของเจ้าหน้าที่ DSI พบว่าสถิติการแจ้งความของกลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) จะมีจำนวนไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับคดีทั้งหมด แต่กลับพบว่ามูลค่าความเสียหายต่อรายมีจำนวนสูงมาก และโดยส่วนใหญ่เป็นเงินที่ผู้สูงวัยเก็บสะสมมาทั้งชีวิตเพื่อใช้ในบั้นปลาย แต่ต้องสูญเสียไปเพราะคำลวงของมิจฉาชีพ
กลโกงมิจฉาชีพ หลอกล่อด้วยจิตวิทยา
ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ SCB เผยว่ามิจฉาชีพยุคใหม่ไม่ใช้กำลังข่มขู่ แต่ใช้หลัก "จิตวิทยา" และการเล่นกับความรู้สึกเป็นวิธีหลอกลวงผู้สูงวัย ได้แก่
1. หลอกให้ลงทุน ได้ผลตอบแทนสูง
มุกนี้ใช้ความหวังและความอยากมีเงินได้เป็นแรงจูงใจ โดยมักแอบอ้างบุคคลสำคัญ บริษัทดัง หรือสร้างแพลตฟอร์มปลอมขึ้นมา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ หลอกให้ผู้สูงอายุนำเงินมาลงทุนในสิ่งที่ดูดีมีอนาคต เช่น เหรียญดิจิทัล กองทุนหรือหุ้นปลอม พร้อมคำโฆษณาที่ว่า เป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงในเวลาไม่นาน และเป็นประเภทที่สร้างความเสียหายสูงสุดต่อราย
2. หลอกให้กลัว
แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐอย่างตำรวจ หรือ DSI บอกว่าเหยื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีร้ายแรง และต้องโอนเงินเพื่อตรวจสอบหรือยืนยันความบริสุทธิ์ ด้วยความตกใจและเกรงกลัวกฎหมาย คนสูงวัยส่วนใหญ่มักหลงเชื่อและทำตาม
ภาพจาก iStock
3. หลอกให้รัก (Romance Scam)
มิจฉาชีพสร้างโปรไฟล์ที่ดูดีและน่าเชื่อถือ เข้ามาพูดคุยตีสนิทและสร้างความสัมพันธ์ที่ดูอบอุ่น จนเหยื่อหลงรักและไว้ใจ จากนั้นจึงเริ่มสร้างเรื่องราวที่น่าสงสารเพื่อขอความช่วยเหลือทางการเงิน
4. หลอกลวงเรื่องครอบครัวและคนใกล้ชิด
ใช้ความรักและความห่วงใยในครอบครัวเป็นเครื่องมือ โทรศัพท์มาอ้างว่าเป็นลูกหลานกำลังประสบอุบัติเหตุ หรือมีเหตุฉุกเฉิน และต้องการเงินด่วนเพื่อใช้รักษาพยาบาล
5. การหลอกขายสินค้า หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ
หลอกขายยาหรืออาหารเสริมที่อ้างว่าสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้ ด้วยคำโฆษณาเกินจริง ซึ่งผู้สูงอายุที่ห่วงใยสุขภาพเป็นพิเศษมักจะตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
6. หลอกให้รับสวัสดิการ หรือได้รับเงินคืน
มิจฉาชีพจะอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ เช่น การไฟฟ้า, กรมที่ดิน, หน่วยงานบำนาญ ฯลฯ แจ้งว่าผู้สูงอายุมีสิทธิ์ได้รับเงินคืน มีค้างค่าบริการ หรือมีปัญหาที่ต้องแก้ไขด่วน แล้วหลอกให้กดลิงก์ปลอม หรือหลอกขอข้อมูลส่วนตัวเพื่อยืนยันการรับเงิน โดยใช้ความดีใจ ความหวัง และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับขั้นตอนราชการมาเป็นจุดอ่อน
วิธีป้องกันผู้สูงวัยจากมิจฉาชีพ
สำหรับลูกหลานที่มีผู้สูงวัยอยู่ในครอบครัวหรือเป็นคนใกล้ชิด ควรหาวิธีป้องกันให้ห่างไกลจากมิจฉาชีพ โดยใช้วิธีดังต่อไปนี้
1. ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวเด็ดขาด
ห้ามเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ-นามสกุล, เลขบัตรประชาชน, หมายเลขบัญชีธนาคาร, รหัส PIN, หรือ รหัส OTP ให้กับบุคคลที่ไม่รู้จักที่โทรเข้ามาหรือส่งข้อความมาขอข้อมูล ไม่ว่าจะอ้างเป็นใครก็ตาม โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ, ธนาคาร, บริษัท เป็นต้น
2. มีสติ ตรวจสอบข้อมูล และปรึกษาครอบครัว
ถ้ามีคนโทรมาทำให้ตกใจหรือกลัว ให้ วางสายทันที และ อย่าโอนเงิน หรือทำตามคำสั่งใด ๆ ให้ตั้งสติและโทรกลับไปตรวจสอบกับเบอร์โทรศัพท์ทางการของหน่วยงานนั้น ๆ ด้วยตัวเอง
ภาพจาก iStock
3. ปรึกษาลูกหลานก่อนทุกครั้ง
หากมีใครมาชักชวนให้โอนเงิน ยืมเงิน ขอข้อมูลส่วนตัว หรือชวนลงทุน ต้องปรึกษาคนในครอบครัวก่อนเสมอ ก่อนตัดสินใจทำธุรกรรมใด ๆ เพราะหน่วยงานรัฐและธนาคาร ไม่มีนโยบายโทรศัพท์มาแจ้งข้อหา สั่งให้โอนเงิน หรือให้กดลิงก์เพื่อตรวจสอบหรือรับเงินคืน
4. ระวังการกดลิงก์และการติดตั้งแอปพลิเคชัน
อย่ากดลิงก์แปลกปลอม หรือสแกน QR Code ที่ส่งมาจาก SMS, LINE, หรือโซเชียลมีเดีย รวมทั้งห้ามติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่รู้จัก หรือแอปพลิเคชันที่ต้องให้สิทธิ์ในการควบคุมโทรศัพท์มือถือ
5. สร้างความรู้ความเข้าใจอย่างสม่ำเสมอ
ลูกหลานควรพูดคุย และอัปเดตข่าวสารเกี่ยวกับกลโกงใหม่ ๆ ให้ผู้สูงอายุฟังอย่างสม่ำเสมอ ด้วยโทนเสียงที่เป็นมิตร ไม่ตำหนิ หรือทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกเครียดหรือถูกกดดัน รวมทั้งควรสอนวิธีการใช้งานโทรศัพท์มือถือและโซเชียลมีเดียอย่างปลอดภัย เช่น การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว การใช้รหัสผ่านที่รัดกุม
6. ใช้เครื่องมือช่วยป้องกัน
ติดตั้งแอปพลิเคชันช่วยตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้จัก เช่น Whoscall เพื่อช่วยเตือนภัยจากเบอร์มิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ที่สำคัญคือ หากมีการโอนเงินไปแล้วและทราบภายหลังว่าเป็นมิจฉาชีพ ให้ รีบติดต่อธนาคาร เพื่ออายัดบัญชีให้เร็วที่สุด และแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที