ราคาทองคำที่มีการขยับขึ้น-ลงรุนแรงยิ่งกว่า “รถไฟเหาะตีลังกา” อันโลดโผน ในระดับที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน จากที่เคยขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,359 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม แต่ในวันต่อมาก็ “ดิ่งลงหนัก” จนช่วงหนึ่งหลุด 4,100 ดอลลาร์ หรือลดลง 6.3%
นับว่าดิ่งลงภายในวันเดียวมากที่สุดในรอบ 12 ปี ขณะเดียวกัน หากนับจากต้นปีนี้ (2025) ราคาทองคำเพิ่มขึ้นไปแล้ว 50%
อย่างที่ทราบกันมาตลอด ว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการซื้อขายและราคาทองคำ ก็คือความขัดแย้งทางการค้าที่ตึงเครียดอย่างหนักระหว่างจีนกับสหรัฐ ทำให้จีนหันไป “ซื้อทองคำ” ตุนไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์และกระจายความเสี่ยง เช่นเดียวกับธนาคารกลางอื่น ๆ เพิ่มการถือครองทองคำ อีกทั้งนโยบายของทรัมป์ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจในดอลลาร์ จนส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่า
แต่เมื่อสถานการณ์บางอย่างส่งสัญญาณจะเปลี่ยนไปในทางบวก เช่น การที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จากเดิมที่เคยขู่จะขึ้นภาษีจีนอีก 100% ก็แสดงท่าทีอ่อนลง ก็มีผลทำให้ราคาทองคำกลับทิศอย่างรุนแรงในชั่วพริบตา
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่าในภาพรวมแล้ว “จีน” เป็นผู้มีบทบาทมากที่สุด และเป็นพลังสำคัญในการผลักดันให้ราคาทองพุ่ง “ทะลุหลังคา” โดย ทอร์สเตน สล็อก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Apollo Global Management หนึ่งในนักวิเคราะห์ที่ทรงอิทธิพลของวอลล์สตรีตระบุว่า บทบาทของจีนต่อราคาทองคำไม่ได้จำกัดอยู่ที่ “ธนาคารกลาง” ของจีน ซึ่งเร่งซื้อทองคำเข้าไว้ในทุนสำรองระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับ Arbitrage Trading หรือการทำกำไรจากส่วนต่างของราคาสินทรัพย์เดียวกัน ในตลาดต่างกันของนักลงทุนจีน นอกจากนี้ ยังเกิดจากความต้องการซื้อทองคำของชาวจีนที่เห็นว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจมหภาคในระดับนี้ เชื่อว่าบรรดาธนาคารกลางทั่วโลกก็จะถือครองทองคำเพิ่มขึ้นมากกว่าดอลลาร์ในอีกไม่นาน
ราคาทองคำทะลุ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากทรัมป์ออกมาขู่ล่าสุดว่าจะขึ้นภาษีจีนอีก 100% ส่งผลสะเทือนต่อการค้าโลก และกัดเซาะความมั่นใจในค่าเงินดอลลาร์จนอ่อนค่าลง ทองคำจึง “เปล่งประกาย” มากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับนักลงทุน
สล็อกระบุว่า ธนาคารกลางจีนเข้าซื้อทองคำไม่หยุดติดต่อกัน 11 เดือน เมื่อนับจนถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งตามตัวเลขอย่างเป็นทางการของจีน อ้างว่ามีทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศแล้ว 2,264 ตัน ในกลางปี 2025 แต่ฉันทามติของแวดวงอุตสาหกรรมทองคำบ่งชี้ว่าการถือครองแท้จริงสูงกว่านั้น เพราะจีนมักจะรายงาน “ต่ำกว่าความเป็นจริง” เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ ซึ่งความลี้ลับน่าสงสัยเช่นนี้ มันได้สร้าง “ราคาขั้นต่ำ” ที่ส่งสัญญาณให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนส่วนบุคคล “กระโดดเล่นตาม” ยิ่งเป็นการเสริมแรงวัฏจักรของความต้องการทองคำ
นอกจากจีนจะเป็นผู้กระตุ้นสำคัญแล้ว ภาคธุรกิจของอเมริกันที่ประสบกับความไม่แน่นอนมากขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ก็หันไปลงทุนทองคำเช่นกัน จึงเป็นอีกแรงที่ช่วยดีดราคาทองคำขึ้นไป โดยโกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำเป็น 4,900 ดอลลาร์ภายในเดือนธันวาคม 2026
นักวิเคราะห์อีกหลายคนยกให้สถานการณ์ราคาทองคำในปัจจุบัน ว่าเทียบได้กับเหตุการณ์ทศวรรษ 1970 เมื่ออดีตประธานาธิบดี “ริชาร์ด นิกสัน” ของสหรัฐยกเลิก “มาตรฐานทองคำ” อันเป็นการยกเลิกการผูกค่าเงินไว้กับปริมาณทองคำ จนสร้างความ “ช็อก” ให้กับตลาด และเกิดความปั่นป่วนด้านการคลัง ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นมากกว่า 2,300% ตลอดทศวรรษนั้น คำทำนายของนักวิเคราะห์เหล่านี้เหมือนเป็นการบอกว่าราคาทองคำจะยัง “วิ่งขึ้นอีกหลายปี”
แม้แต่นักวิเคราะห์ที่ได้ชื่อว่า “ไม่เชื่อในทองคำ” มาเป็นเวลานาน อย่างเจมี ไดมอน ซีอีโอของมอร์แกน เชส ก็ยังต้องยอมรับความนิยมในทอง และยอมแนะนำให้ลูกค้ามีทองคำไว้ในพอร์ต เช่นเดียวกับเคน กริฟฟิน ซีอีโอของ Citadel ที่เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับทองคำ และยอมรับว่าทองกลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แบบเดียวกับที่ตนมองว่าดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องที่ “น่ากังวล” ตนไม่มีความสุขที่เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น
เอ็ด ยาร์เดนิ นักวิเคราะห์มากประสบการณ์ทำนายว่า หากแนวโน้มของการ “ขายสินทรัพย์รัฐบาล” และสกุลดอลลาร์ เพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ปลอดภัยและสู้กับเงินเฟ้อได้ดีกว่ายังคงดำเนินต่อไป ก็มีโอกาสที่ราคาทองคำจะไต่ขึ้นไปอยู่ที่ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปีหน้า (2026) และ 10,000 ดอลลาร์ภายในปี 2028
สำหรับความคืบหน้ากำหนดการพบปะกันระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่ผู้นำสองประเทศจะพบปะกันตัวต่อตัวที่เกาหลีใต้ ก่อนการประชุมความร่วมมือเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม-1 พฤศจิกายนนั้น ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่า มั่นใจว่าจะได้ “ข้อตกลงที่ดี” กับจีน เพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำจีน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ไม่เชื่อว่าทรัมป์จะสามารถใช้ “เสน่ห์ส่วนตัว” หว่านล้อมจีนได้ เพราะบุคลิกของสี จิ้นผิง ไม่ใช่คนอ่อนไหวทางอารมณ์ที่จะเปลี่ยนใจได้ง่าย ๆ
นักวิเคราะห์ระบุว่า สี จิ้นผิง “เป็นฝ่ายรุก” เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้จีนแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งและไม่ปิดบังว่า “เหนือกว่า” ด้วยการควบคุมการส่งออก “แร่หายาก” ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสูง ตั้งแต่เครื่องปั่นในครัวไปจนถึงเครื่องบินขับไล่ แต่คงยากที่สองฝ่ายจะบรรลุการต่อรองใหญ่ ๆ ระหว่างกัน โดยทรัมป์นั้นแสดงความต้องการให้จีนยุติการจำกัดการส่งออกแร่หายาก แก้ปัญหาเฟนทานีล และซื้อถั่วเหลือง เพื่อสร้างคะแนนนิยมในการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2026