ทำความรู้จักแร่หายาก “Rare Earth” พบที่ไหนในไทย ความเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม หากขุดแร่ในประเทศจะเกิดอะไรขึ้น พร้อมเปิด 10 ประเทศที่มีปริมาณแร่สำรองมากที่สุดในโลก
บนเวทีการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 นอกจากประเด็นสันติภาพและการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ แล้ว อีกหนึ่งหัวข้อที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กันคือกรณีที่สหรัฐลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้าน “แร่หายาก” (Rare Earth Elements) โดยมีไทยเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าในอาเซียนที่ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในครั้งนี้
แร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements) หรือแร่ธาตุหายาก คือ กลุ่มแร่ธาตุ 17 ชนิด อาทิ สแกนเดียม (scandium) อิตเทรียม (yttrium) และแลนทาไนด์ (lanthanides) ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางการแพทย์
โดยองค์ประกอบของแร่เอิร์ธ คือ กลุ่มธาตุแลนทาไนด์ 15 ชนิด ธาตุอีก 2 ชนิดคือ สแกนเดียม (Scandium) และ อิตเทรียม (Yttrium) ส่วนการนำไปใช้งาน
ประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ : จอโทรศัพท์ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ และลำโพง
เทคโนโลยี : เครื่องยนต์รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม ระบบนำทาง และเรดาร์
การแพทย์ : เครื่องสแกน MRI และการผ่าตัดด้วยเลเซอร์
การป้องกันประเทศ : อาวุธยุทโธปกรณ์
ข้อมูลจาก กรมทรัพยากรธรณี ระบุว่า ธาตุหายากใช้เป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำคัญยิ่งยวดในกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงหลากประเภทของโลกปัจจุบันและอนาคต อาทิ ด้านโลหะผสม (metal alloy) ตัวเร่งปฏิกิริยาในอุตสาหกรรมยานยนต์และปิโตรเคมี (catalyst&chemical process) อุตสาหกรรมเซรามิก/แก้ว (ceramics&glass) สารเรืองแสง (phosphors) เช่น หลอดแอลอีดี, หลอดฟลูออเรสเซนต์, การแสดงผลจอแบน เลเซอร์ แบตเตอรี่โซลิดสเตตแบบชาร์จไฟได้ (Ni-MH) ไฟเบอร์ออปติก และอื่น ๆ
นอกจากนี้ ธาตุหายากยังเป็นองค์ประกอบสําคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่าง ๆ เช่น เซลล์เชื้อเพลิงโซลิดสเตต (solid state fuel) ตัวนํายิ่งยวด (superconductors) การระบายความร้อนด้วยแม่เหล็ก (magnetic cooling) การกักเก็บไฮโดรเจน (hydrogen storage) และแม่เหล็กถาวรประสิทธิภาพสูง (high performance permanent magnets)
ซึ่งมีความสําคัญอย่างมากสำหรับเทคโนโลยีชั้นสูงต่าง ๆ เช่น กังหันลม (wind turbines) รถยนต์ไฮบริด (hybrid cars) ไปจนถึงไดรฟ์บันทึกข้อมูล (HD drives) ลําโพง และไมโครโฟนโทรศัพท์มือถือ โดยธาตุหายากแต่ละตัวมีการนำไปใช้ประโยชน์ที่หลากหลายแตกต่างกันไป
แม้ว่าจะเรียกธาตุหายาก (rare earth elements) แต่สามารถพบได้ในเนื้อหินเกือบทุกชนิดที่เป็นส่วนประกอบของเปลือกโลก แหล่งแร่ที่ให้ธาตุหายากพบกระจายตัวทางด้านตะวันตกของประเทศไทย ตั้งแต่ภาคเหนือจนถึงภาคใต้ เช่น จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุทัยธานี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี

ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Sonthi Kotchawat” ระบุว่าถึงประเด็น “ขุดแร่หายากในประเทศไทย..อะไรจะเกิดขึ้น” แม้ชื่อจะบ่งบอกว่า “หายาก” แต่ธาตุเหล่านี้กลับไม่หายากในเปลือกโลกเท่าใดนัก แต่มีความเข้มข้นต่ำ แต่การทำเหมืองและสกัดให้บริ สุทธิ์ทำได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง คุณ สมบัติทางแม่เหล็ก เคมี และไฟฟ้าที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ธาตุเหล่านี้ขาดไม่ได้สำหรับหลายการใช้งาน
ซึ่งการทำเหมืองแร่ธาตุหายากใช้วิธีการแบบดั้งเดิม เช่น การทำเหมืองแบบเปิด (open-pit)หรือการทำเหมืองใต้ดิน เพื่อสกัดเอาแร่จากนั้นจะนำมาบด สกัดและทำให้เข้มข้นเพื่อแยกธาตุหายาก (rare earth elements) ออกจากแร่ชนิดอื่น
กระบวนการนี้ใช้พลังงานและน้ำเป็นจำนวนมาก และอาจก่อให้เกิดของเสียอันตรายที่มีธาตุกัมมันตรังสี เช่น แร่ทอ เรียมและยูเรเนียม แม้ว่าธาตุหายากจะมีความสำคัญต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่แต่การทำเหมืองและการแปร รูปก็ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวด ล้อมอย่างมาก ทั้งการปนเปื้อนของน้ำ มลพิษทางอากาศ และการกัดเซาะหน้าดิน
การขุดแร่หายากส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหลายด้าน ทั้งการปนเปื้อนของน้ำและดินจากสารเคมีและกากแร่ที่มีกัมมันตรังสี, การปล่อยฝุ่นและก๊าซอันตราย, การทำลายป่าและถิ่นที่อยู่ของสัตว์, และการใช้น้ำปริมาณมาก ปัญหานี้รุนแรงขึ้นจากกระบวนการขุดและแปรรูปที่ต้องใช้สารเคมีจำนวนมาก ซึ่งก่อให้เกิดของเสียและมลพิษในระยะยาว
ในประเทศไทยยังมีทรัพยากรแร่ที่นำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ อีกมากมายในชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่ผสมอยู่ในยาสีฟัน โถสุขภัณฑ์ จานชามเซรามิค โทรศัพท์มือถือ ยานยนต์ จนถึงโครงสร้างถนนหนทางและตึกสูงระฟ้า จากข้อมูลบัญชีทรัพยากรแร่ของไทย ปี พ.ศ. 2566 ร้อยละ 19 ของพื้นที่ประเทศไทยมีทรัพยากรแร่มากกว่า 40 ชนิด
โดยชนิดทรัพยากรแร่ที่พบในปริมาณมากที่สุดเกือบร้อยละ 60 ของทั้งประเทศ คือ เกลือหิน ที่กระจายอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย การสำรวจจุดค้นพบทรัพยากรแร่ที่สำคัญสามารถต่อยอดนำข้อมูลวิชาการเพื่อพัฒนาการสำรวจศึกษาทรัพยากรธรณีที่สำคัญอื่น ๆ ในอนาคต
ทั้งนี้ มีหลายประเทศทั่วโลกที่มีแหล่งสำรองแร่แรร์เอิร์ธ แต่ก็มีบางประเทศที่มีมากกว่าประเทศอื่น ๆ อย่างมาก
ข้อมูลจาก CNBCTV ระบุข้อมูล 10 อันดับประเทศที่ถือครองมากที่สุดในโลก เรียงลำดับดังนี้
อันดับ 10 แอฟริกาใต้ (0.9 ล้านตัน)
แอฟริกาใต้มีปริมาณสำรองแร่แรร์เอิร์ธราว 0.9 ล้านตัน กำลังเร่งพัฒนาโครงการร่วมกับต่างประเทศเพื่อสร้างมูลค่าจากทรัพยากรเหล่านี้ โครงการอย่าง “Phalaborwa” ถูกมองว่าจะช่วยลดการพึ่งพาจีน และเสริมความมั่นคงของอุปทานในภูมิภาค
อันดับ 9 แทนซาเนีย (0.9 ล้านตัน)
แทนซาเนียเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ศักยภาพสูงสำหรับการพัฒนาเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ โดยมีแหล่งสำรองที่รอการสำรวจเพิ่มเติม ซึ่งหากบริหารจัดการอย่างยั่งยืน จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคได้อย่างมีนัยสำคัญ
อันดับ 8 กรีนแลนด์ (1.5 ล้านตัน)
กรีนแลนด์มีปริมาณสำรองแร่แรร์เอิร์ธประมาณ 1.5 ล้านตัน แม้ยังไม่มีการผลิตเชิงพาณิชย์ แต่โครงการ Tanbreez และ Kvanefjeld ถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็นแหล่งผลิตสำคัญในอนาคต
อันดับ 7 สหรัฐ (1.9 ล้านตัน)
แม้จะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก แต่สหรัฐฯ กลับมีแร่แรร์เอิร์ธในปริมาณจำกัด โดยการทำเหมืองมีเพียงแห่งเดียวที่ Mountain Pass รัฐแคลิฟอร์เนีย
อันดับ 6 เวียดนาม (3.5 ล้านตัน)
เวียดนามมีปริมาณสำรองแรร์เอิร์ธใกล้เคียงกับรัสเซีย โดยมีแหล่งสำคัญกระจายอยู่บริเวณชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือที่ติดจีน และตามแนวชายฝั่งด้านตะวันออก
อันดับ 5 รัสเซีย (3.8 ล้านตัน)
รัสเซียถือครองแร่แรร์เอิร์ธประมาณ 3.8 ล้านตัน ลดลงจาก 10 ล้านตันในปี 2023 แต่ยังคงรักษาระดับการผลิตไว้ที่ราว 2,500 ตันต่อปี
อันดับ 4 ออสเตรเลีย (5.7 ล้านตัน)
ออสเตรเลียอยู่ในอันดับ 4 ของโลกด้านปริมาณสำรอง โดยในปี 2024 ผลิตได้ 13,000 ตัน และเริ่มดำเนินการทำเหมืองตั้งแต่ปี 2007 ทั้งนี้ การผลิตยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในอนาคต
อันดับ 3 อินเดีย (6.9 ล้านตัน)
อินเดียมีแร่แรร์เอิร์ธมากเป็นอันดับ 3 ของโลก ผลิตได้ 2,900 ตันในปี 2024 ใกล้เคียงกับปีก่อน ๆ อีกทั้งยังครอบครองแหล่งทรายชายหาดซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของแร่ชนิดนี้ถึง 35% ของโลก
อันดับ 2 บราซิล (21 ล้านตัน)
บราซิลมีปริมาณสำรองสูงถึง 21 ล้านตัน แม้ยังไม่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ แต่โครงการ “Serra Verde” ได้เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์จากแหล่ง Pela Ema แล้ว และตั้งเป้าผลิตให้ได้ 5,000 ตันต่อปีภายในปี 2026
อันดับ 1 จีน (44 ล้านตัน)
จีนครองตำแหน่งผู้นำโลกด้านแร่แรร์เอิร์ธ ด้วยปริมาณสำรองมหาศาลถึง 44 ล้านตัน มากกว่าประเทศอันดับ 2 ถึงสองเท่า ในช่วงหลัง จีนยังนำเข้าแร่จากเมียนมาเพิ่มขึ้น แม้จะถูกวิพากษ์ถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองที่ขาดการควบคุม
ขณะที่ปริมาณแร่แรร์เอิร์ธประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) ปี 2567 ระบุว่า ไทยมีทรัพยากรแร่หายากสำรองประมาณ 4,500 ตันของ Rare Earth Oxides (REO) อยู่อันดับที่ 12 ของโลก