‘แบงก์ชาติ’ เตรียมเข็นประกาศปลดล็อกแบงก์ร่วมทุน AMC ผุดตั้ง JV AMC พร้อมคลายเกณฑ์ AMC แบงก์รัฐให้ทำงานคล่องตัวขึ้น ลุยต้อนเข้าเครดิตบูโรหวังเชื่อมฐานข้อมูลลูกหนี้ชุดใหญ่ ปักธง 1-2 สัปดาห์ ชัดเจนโครงการซื้อหนี้เน่าประชาชนต่ำ 1 แสนบาท การันตีไทยสถานการณ์หนี้เสียไทยยังไม่เข้าขั้นวิกฤติ
28 ต.ค. 2568 – นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาถกฐาในงานสัมมนา BAM SYMPOSIUM 2025 ครัั้งที่ 1 ‘NEW ERA OF AMC : พลิกฟื้นสินทรัพย์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย’ ว่า ภายใน 2-3 วันนี้ ธปท. เตรียมจะออกประกาศมาตรการส่งเสริมการจัดตั้งกิจการร่วมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) โดยเปิดทางให้ธนาคารพาณิชย์และบริษัทสินทรัพย์ (AMC) ตั้งกิจการร่วมทุน (JV AMC) ฉบับใหม่ ทดแทนฉบับเดิมที่หมดอายุไปตั้งแต่สิ้นปี 2567 โดยในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการสนับสนุนให้มีการจัดตั้ง JV AMC ใหม่แล้ว ประกาศฉบับนี้จะมีบางส่วนที่ขยายขอบเขตอำนาจให้ JV AMC ที่เป็นบริษัทลูกของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ สามารถดำเนินการได้มากขึ้น ทำให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น เพื่อเป็นการเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบันในระบบมี AMC ทั้งสิ้นราว 90 ราย แต่มีการดำเนินการเพียง 45 รายเท่านั้น ทำให้พอร์ตการซื้อหนี้เสียในระบบของ AMC ในปัจจุบันลดลงเหลือ 10% ของยอดหนี้เสีย จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ราว 20% ของยอดหนี้เสีย โดย ธปท. อยากเห็นพอร์ตการซื้อหนี้เสียของ AMC ในอนาคตเพิ่มมากขึ้นเป็น 20-30% ของยอดหนี้เสีย จึงมองว่าการออกประกาศให้มีการจัดตั้ง JV AMC ใหม่นี้ จะเป็นการเพิ่มผู้เล่นในระบบ ซึ่งหวังให้เกิดการกระตุ้นการดำเนินงานของ AMC ที่มีในระบบให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน
นอกจากนี้ ธปท. อยากให้ AMC เข้าสู่ระบบของเครดิตบูโร ซึ่งมองว่าหากทุกหน่วยงานที่มีลูกหนี้เข้าสู่ระบบของเครดิตบูโรได้จะเป็นเรื่องดี ฐานข้อมูลจะใหญ่ขึ้น ดังนั้นเวลาจะทำนโยบายหรือปล่อยสินเชื่อก็จะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ ธปท. ไม่ได้บังคับ แต่เป็นภาคสมัครใจ โดยเบื้องต้นทราบว่า บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เข้าเรียบร้อยแล้ว
“ตอนนี้ AMC ไม่ได้ถูกให้เข้าเครดิตบูโร แต่ถ้าทุกหน่วยงานที่มีข้อมูลลูกหนี้สามารถเข้าสู่เครดิตบูโรก็เป็นเรื่องที่ดี ฐานข้อมูลเราก็จะใหญ่ขึ้น เวลาแก้หนี้เสร็จข้อมูลลูกหนี้ก็จะเปลี่ยน สถานะลูกหนี้ถูกปรับเป็นลูกหนี้ที่ดี เราก็จะสามารถช่วยกลุ่มนี้ให้ออกจากความเป็นหนี้เสียได้ง่ายขึ้น ไม่งั้นก็จะค้าง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของความสมัครใจ และการที่่ AMC จะเข้าเครดิตบูโรก็ไม่จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายอะไรด้วย และเชื่อว่าเมื่อประกาศฉบับใหม่นี้ออกมา จะทำให้มีการจัดตั้ง JV AMC มากขึ้น โดยการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ธปท. พยายามดำเนินการมาโดยตลอด แต่ในยุคปัจจุบันนี้อยากให้เห็นว่า ธปท. อยู่ใกล้ชิดประชาชน และเข้ามาแก้ไขปัญหาแต่ละจุดอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมมากขึ้น” ผู้ว่าการ ธปท. ระบุ
ขณเดียวกัน ธปท. ยังได้ร่วมมือกับกระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย ในการผลักดันเรื่องการจัดตั้ง AMC ขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาหนี้เสียภาคประชาชน รายละไม่เกิน 1 แสนบาท ซึ่งคาดว่าภายใน 1-2 สัปดาห์จากนี้จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนและสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยหลักการ คือ จะโอนหนี้เสียภาคประชาชนรายละไม่เกิน 1 แสนบาท เข้าไปสู่การแก้ไข โดยจะเป็นการดำเนินการผ่านบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บบส.) หรือ SAM และ BAM เป็นหลัก
นายวิทัย กล่าวอีกว่า ในระยะแรกจะดำเนินการกับลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสีย จำนวน 1.5-2 ล้านราย จากทั้งหมด 4 ล้านราย ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ ลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ ราว 7 แสนราย, ลูกหนี้ของนอนแบงก์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ 8 แสนราย ซึ่งลูกหนี้กลุ่มนี้จะถูกโอนมาที่ SAM และลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ราว 4-5 แสนราย จะถูกโอนไปที่ Ari-AMC ซึ่งถือหุ้นโดยธนาคารออมสิน และ BAM โดยกระบวนการขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาในเงื่อนไขช่วงสุดท้ายแล้ว ส่วนลูกหนี้กลุ่มที่เหลืออีกราว 2 ล้านราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ของนอนแบงก์ จะต้องมีการเจรจาในรายละเอียดและเงื่อนไขต่อไป โดยจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
นายวิทัย กล่าวว่า ยืนยันว่าปัจจุบันปัญหาหนี้เสียยังไม่เข้าขั้นวิกฤติ โดย ธปท. ยังไม่เห็นแนวโน้มของหนี้เสีย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ราว 3-4% และหนี้ค้างชำระตั้งแต่ 30-90 วัน (SM) ปัจจุบันอยู่ที่ 7-8% โดยยังไม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมองว่าความเสี่ยงในส่วนนี้ยังไม่มากนัก แต่ก็ยังเป็นปัญหาสำคัญที่หากสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะสามารถช่วยคน และธุรกิจเล็ก ๆ ให้สามารถกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันไม่ได้ดีอย่างที่เคยเป็น โดย ธปท. ได้ประเมินว่าแนวโน้มตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.2% ซึ่งจะเริ่มเห็นการชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลัง และน่าจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 1/2569 เนื่องจากมีการเร่งส่งออก แต่ภาพรวมจีดีพีปี 2569 จะขยายตัวลดลงเหลือ 1.6% โดยมองว่าเศรษฐกิจมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งการเข้าสู่สังคมสูงวัย การเงิน ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาด้านธรรมาภิบาล ด้านการศึกษา รวมถึงปัญหาหนี้ึครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ราว 86% หากไม่แก้ไขเพื่อให้ก้าวข้ามไปให้ได้ การเติบโตทางเศรษฐกิจหรือการกินดีอยู่ดีของประชาชนก็จะลำบาก
“หนี้ครัวเรือนเป็นวิกฤติต่อเนื่อง โดยส่วนที่น่าสนใจและน่าให้ความสำคัญ คือ หนี้ที่เริ่มผิดนัดชำระ และหนี้เสีย 2 ส่วนนี้รวมกันเกือบ 11-12% ตรงนี้เป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่นำไปสู่ปัญหาการเป็นหนี้เสีย ไม่ใช่กดดันการบริโภคและการลงุทน แต่ก็เป็นเรื่องของความเป็นอยู่ของประชาชน ความสามารถของธุรกิจเอสเอ็มอี ถ้าไม่รีบแก้ไขอย่างจริงจัง ผมคิดว่ามีโอกาสที่จะทำอะไรต่อไปให้จีดีพีสูงขึ้น จะเป็นตัวเหนี่ยวรั้งตลอดเวลา ซึ่งเรื่องหนี้ครัวเรือนเราฟังมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ต้องคิดว่าทำอะไรจะได้มากกว่า และใครจะทำ เราอยู่ในยุคที่อยากให้เกิดผลลัพธ์ไม่ใช่แค่การวิเคราะห์ ซึ่งปัญหาของไทยอยู่ที่ใครจะลงมือทำ และทำอย่างไรให้เกิดอิมแพค เพราะถ้าไม่ทำให้เกิดอิมแพค การจะมาวิเคราะห์ปัญหาไปก็เท่านั้น” นายวิทัย ระบุ