ค่ายรถหวั่นตลาดวูบ ชี้จับตาค่ายอีวีเทกระจาด อัดแคมเปญลดราคา ส่งท้ายมาตรการอีวี 3.0 บีบตัวเลข หวังปั๊มยอดผลิตชดเชยภาครัฐ ด้านบีวายดีเปิดศึก ลดราคา DOLPHIN-ATTO คาดได้เห็นค่ายอื่น ถล่ม “สงครามราคา” อีกครั้ง
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ในช่วงสิ้นปี 2568 จะเป็นช่วงสิ้นสุดของมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ระยะที่ 1 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อีวี 3.0” ที่รัฐบาลมีการสนับสนุน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมากขึ้น
ที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ผลักดันในช่วงปี 2565-2566 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมและสร้างฐานการผลิต EV
ภายใต้แรงจูงใจด้วยแต้มต่อด้านราคาจำหน่าย ในส่วนลด 150,000 บาทต่อคัน สำหรับรถยนต์นั่งต่อรถยนต์โดยสาร (ไม่เกิน 10 คน) ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และแบตเตอรี่ 30 kWh ขึ้นไป ได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 150,000 บาท/คัน
ส่วนแบตเตอรี่ 10-30 kWh ได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 70,000 บาทต่อคัน และรถจักรยานยนต์ BEV ราคาไม่เกิน 150,000 บาท ได้รับเงินอุดหนุน 18,000 บาทต่อคัน และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือเพียง 2% (สำหรับรถยนต์นั่ง/โดยสาร) รวมทั้งลดภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 40% (สำหรับรถที่นำเข้าสำเร็จรูปในช่วงแรก)
และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือเพียง 2% (สำหรับรถยนต์นั่ง/โดยสาร) รวมทั้งลดภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 40% (สำหรับรถที่นำเข้าสำเร็จรูปในช่วงแรก)
โดยค่ายรถที่นำเข้ารถสำเร็จรูปมาจำหน่าย จะต้องผลิตรถยนต์รุ่นเดียวกันหรือต่างรุ่นที่เป็น BEV คืนในประเทศไทย ในอัตราส่วนที่กำหนดคือ นำเข้า 1 คัน ต้องผลิตคืน 1 คัน (1 ต่อ 1) ภายในปี 2567 สำหรับรถที่นำเข้าในปี 2565-2566 และผลิตคืนในปี 2568 อัตราส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 คัน (1 ต่อ 1.5)
และล่าสุด คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เปิดเผยว่า เห็นชอบให้กรมสรรพสามิตปรับเงื่อนไขในการคำนวณจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตชดเชยภายใต้มาตรการ อีวี 3.0 และอีวี 3.5 โดยให้ “ผลิต 1 คัน นับเป็นการผลิตชดเชย 1.5 คัน” สำหรับยานยนต์ที่ผลิตและส่งออกไปต่างประเทศ
และขยายระยะเวลาการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ ภายใต้มาตรการ EV 3 และ EV 3.5 ออกไปอีก 1 เดือน จากเดิมมาตรการอีวี 3.0 ให้จดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เป็นจำหน่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2569
ส่วนมาตรการอีวี 3.5 จากเดิมให้จดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2570 เป็นจำหน่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2570 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2571
ดังนั้นในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2568 จะได้เห็นการกลับมาทำ “สงครามราคา” จากบรรดาค่ายรถยนต์อีวีที่เข้าร่วมมาตรการอีวี 3.0 ทิ้งท้ายอีกครั้งหนึ่ง เพราะตามเงื่อนไขหากค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมมาตรการไม่สามารถจะผลิตเพื่อชดเชยได้จะต้องถูกปรับจากรัฐบาลไทย
ล่าสุด นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจเรเว่ ผู้จัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานใหม่ บีวายดี และเดนซ่า อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดเผยว่า ก่อนที่มาตรการอีวี 3.0 ที่จะสิ้นสุดลง และคาดว่าราคาจำหน่ายรถยนต์บีวายดีจะกลับไปสู่ระดับราคาเดิมนั้น บริษัทได้นำเสนอแคมเปญพิเศษสำหรับรถที่อยู่ในมาตรการ EV 3.0 โดยปรับลดราคาจำหน่ายลงมา เฉลี่ย 140,000-200,000 บาท สำหรับ BYD DOLPHIN และ BYD ATTO 3
เพื่อกระตุ้นตลาดและส่งเสริมให้เกิดการขายก่อนสิ้นสุดโครงการ โดยรถยนต์ที่เข้าร่วมมีจำนวนจำกัด หากสินค้าหมดจะถือว่าสิ้นสุดแคมเปญทันที โดยแคมเปญมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2568
และหากในช่วงระยะเวลาของแคมเปญนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 หรือหากมีแคมเปญอื่นที่ดีกว่าแคมเปญนี้ ทางบริษัทการันตีการชดเชยส่วนต่างแคมเปญให้แก่ลูกค้าที่ซื้อรถตามแคมเปญนี้
ก่อนหน้านี้ นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด และประธานกรรมการบริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมส่งรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาด และมั่นใจว่าเป้าหมายยอดขายที่ระดับ 20,000 คันนั้นเป็นไปได้แน่นอน
ปีนี้บริษัทได้ผลิตรถยนต์ Deepal S05 ไม่น้อยกว่า 10,000 คัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อรองรับตลาดในประเทศไทย 9,000 คัน และส่งออกราว ๆ 1,000 คัน และบริษัทจะเพิ่มกำลังผลิตและเตรียมขึ้นไลน์ผลิตรถรุ่นใหม่อีก 1 รุ่นด้วย รวมทั้งจะเพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ หรือโลคอลคอนเทนต์ จาก 60% ในปัจจุบันเป็น 80% ในอนาคต
ดังนั้น หากเป็นไปได้ ฉางอานต้องการสะท้อนไปยังรัฐบาลให้พิจารณาเงื่อนไขการผลิตเพื่อขยายโครงการอีวี 3.5 โดยสามารถนำยอดผลิตเพื่อส่งออกมาชดเชยได้มากขึ้น จากเดิมคิดในอัตรา 1 คันต่อ 1.5 คัน เพิ่มเป็น 1 คันต่อ 2 คันแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ฉางอานเข้าร่วมมาตรการ EV 3.0 โดยเปิดตัวรถ EV 2 รุ่น ได้แก่ Deepal S07 และรถอีวี Deepal L07 และคาดว่าน่าจะสามารถผลิตชดเชยได้ตามกรอบเวลา
แหล่งข่าวระดับบริหารของค่ายรถจีนรายหนึ่งกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในส่วนของมาตรการอีวี 3.0 นั้นคาดว่าค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมจะยังคงเดินหน้า เพื่อผลิตชดเชยตามเงื่อนไขต่อเนื่อง หรือหากมีรายใดติดขัดก็เชื่อว่าน่าจะมีการเข้าไปเจรจากับภาครัฐได้
แต่สิ่งที่น่ากังวลในเวลานี้คือ เมื่อค่ายรถยนต์รายใหญ่ได้ประกาศปรับราคาจำหน่ายลงมาแล้ว บรรดาค่ายรถอีวีอื่นจะแข่งขันในตลาดได้ยากขึ้น และอาจจะได้ภาพของการทำสงครามราคาอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะทุกค่ายต่างต้องการยอดขาย
“รายใหญ่ทำราคาลงมา เขาไม่แปลก และไม่น่าจะเดือดร้อนสำหรับเขามากนัก เพราะมีเทคโนโลยีแบตเตอรี่ของตัวเอง แต่ขณะที่รายอื่น ๆ น่ากังวลว่าถ้าไม่ลดราคาหรือโปรโมชั่นมา ก็จะแข่งขันได้ยาก ตรงนี้ต้องรอดูกัน”
แหล่งข่าวจากค่ายรถยนต์รายหนึ่งยอมรับกับ “ประชาชาติธุกิจ” ว่า การทำสงครามราคาของค่ายรถยนต์อีวี ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะแค่รถยนต์อีวีด้วยกันเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อค่ายรถโดยรวม เพราะโครงสร้างราคาจำหน่าย การวางกลยุทธ์ทางการตลาดต้องเปลี่ยนแปลงหมด ที่สำคัญ ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจออกไป รอเงื่อนไขที่อาจจะดีกว่า และทำให้ตลาดเกิดการบิดเบือนเหมือนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ตลาดเริ่มกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจและความเชื่อมั่นโดยรวม ผู้บริโภคเริ่มมีความชัดเจนในการตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์ประเภทพลังงานต่าง ๆ
แต่หากในช่วง 2 เดือนนี้ ค่ายรถกลับมาใช้กลยุทธ์ราคาอีกครั้ง ก็มีความเป็นไปได้ว่าตลาดรถยนต์จะได้รับแรงสะเทือนอีกครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องคุณภาพลูกค้าและสุขภาพโดยรวมของตลาดรถยนต์
“เท่าที่ทราบ ค่ายรถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวออกสู่ตลาดไปก่อนหน้านี้ ทั้งค่ายอีวีและค่ายรถสันดาป ลูกค้าเริ่มเกิดความลังเล และขอชะลอการตัดสินใจออกไป หลังค่ายอีวีบางค่ายประกาศลดราคาในช่วงโค้งสุดท้ายของมาตรการอีวี 3.0 และเชื่อว่าจากนี้อาจจะได้เห็นการถล่มราคาอีวีกันอีกครั้ง”