ในยุคที่สังคมหมุนเร็วและข่าวสารถาโถมไม่หยุด ความโศกเศร้าและความเครียดกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด ประชาชาติธุรกิจพาไปรู้จัก ‘7 วิธีดูแลสุขภาพจิต’ ที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน เพื่อให้หัวใจกลับมาเข้มแข็ง และพร้อมเริ่มต้นใหม่อย่างมีพลัง
ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีข่าวร้าย ทั้งเศรษฐกิจผันผวน และความสูญเสียรอบตัว กลายเป็นปัจจัยที่บั่นทอนสุขภาพใจของคนยุคนี้โดยไม่รู้ตัว หลายคนต้องเผชิญกับภาวะโศกเศร้า หรือความเครียด
แต่ในขณะที่ “ร่างกาย” ยังได้รับการดูแลผ่านการออกกำลังกายและโภชนาการ “สุขภาพจิต” กลับมักถูกละเลย ทั้งที่ความแข็งแรงของใจ คือพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตโดยรวม
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตจึงได้แนะนำว่า “การดูแลใจ” ต้องทำควบคู่กับ “การดูแลกาย” และสามารถเริ่มได้จากสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน
ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างคือ “ยารักษาใจ” ชั้นดี การได้พูดคุย ใช้เวลา หรือแม้แต่แบ่งปันช่วงเวลาสั้น ๆ กับครอบครัว เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน ช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยว และทำให้เกิดความรู้สึกว่า “เราไม่ได้อยู่คนเดียว”
งานวิจัยจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยังพบว่า การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างสม่ำเสมอ
ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าได้มากกว่า 30% เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนต้องการ “พื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์” ที่มาจากความสัมพันธ์อันดี
สุขภาพกายและใจเชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น การออกกำลังกายเป็นประจำเพียงวันละ 30 นาที ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง โยคะ หรือแม้แต่ทำสวน ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่ง “เอนดอร์ฟิน” ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขตามธรรมชาติ
ควบคู่กับการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และนอนหลับอย่างมีคุณภาพ
ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานของการสร้างสมดุลทางอารมณ์ เพราะ “ร่างกายที่ดี” คือ “รากฐานของจิตใจที่แข็งแรง”
การเปิดรับความรู้หรือทักษะใหม่ ๆ ไม่เพียงช่วยให้สมองตื่นตัว แต่ยังทำให้เรารู้สึกถึงคุณค่าและความสำเร็จในชีวิต การลงมือทำงานอดิเรก เช่น ทำอาหาร วาดภาพ หรือเรียนออนไลน์ ล้วนช่วยกระตุ้นให้เกิดความมั่นใจและลดความเครียดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในยุคดิจิทัลที่ความรู้เข้าถึงง่าย เพียงคลิกเดียวก็สามารถเปิดโลกการเรียนรู้ใหม่ ๆ ที่อาจเปลี่ยนมุมมองชีวิตได้
หลายคนอาจเผลอพึ่งแอลกอฮอล์ ยาเสพติด หรือบุหรี่เพื่อบรรเทาความเศร้า แม้จะรู้สึกดีขึ้นในระยะสั้น แต่ผลระยะยาวกลับทำให้จิตใจเปราะบางกว่าเดิม สารเสพติดเหล่านี้ส่งผลให้สมองทำงานผิดปกติ และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า
ดังนั้น ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า คือการเผชิญหน้าความรู้สึกด้วยสติ หันไปทำกิจกรรมที่ช่วยให้ใจผ่อนคลาย เช่น เดินเล่น ฟังเพลง หรือพูดคุยกับคนไว้ใจ
ชีวิตที่ไม่มีเป้าหมายมักนำมาซึ่งความสับสนและความเครียด การเขียนเป้าหมายระยะสั้น–ระยะยาวลงบนกระดาษ เช่น การเรียน การทำงาน หรือพัฒนาตัวเอง ช่วยให้เห็นภาพอนาคตที่ชัดเจนขึ้น และรู้ว่าทุกก้าวที่เดินมีความหมาย
ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายใหญ่โตในทันที เพียงเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ที่ทำได้ในแต่ละวัน แล้วค่อย ๆ ต่อจิ๊กซอว์แห่งความสำเร็จจะช่วยให้รู้สึกภูมิใจและมีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตต่อไป
ความคิดในเชิงบวกไม่ใช่การหลอกตัวเอง แต่คือการมองเห็นคุณค่าของสิ่งดี ๆ รอบตัวลองเริ่มต้นวันด้วยรอยยิ้ม และบอก “ขอบคุณตัวเอง” สำหรับสิ่งเล็ก ๆ ที่ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการตื่นเช้ามาทำงาน การผ่านวันที่เหนื่อยล้า หรือการกล้าพูดกับคนอื่นด้วยใจเปิดกว้าง
เมื่อเรามีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต ความเครียดจะลดลง และจิตใจก็จะพร้อมรับมือกับความเศร้าอย่างมีสติและความเข้าใจมากขึ้น
ไม่มีใครควรต้องแบกรับปัญหาไว้เพียงลำพัง การเปิดใจพูดคุยกับเพื่อน คนในครอบครัว หรือผู้เชี่ยวชาญ
คือก้าวแรกของการเยียวยา
ประเทศไทยมี “สายด่วนสุขภาพจิต 1323” ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับผู้ที่ต้องการระบาย พูดคุย หรือขอคำปรึกษา การโทรหาผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือการแสดงออกถึง “ความเข้มแข็ง”
ที่กล้ายอมรับว่าตัวเองต้องการความช่วยเหลือ