 
            ชยพล โวย ‘กัน จอมพลัง-กองทัพ’ แจงไม่ชัด สรุปแล้วกองทัพขาดแคลนทรัพยากรหรือไม่ ด้าน ‘รักชนก’ ซัด ฟังโดยสามัญสำนึกก็เห็นว่าไม่ชัดเจน
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่รัฐสภา นายชยพล สท้อนดี ส.ส.กทม. พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร และ น.ส.รักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม กมธ. ที่เชิญกองทัพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือกัน จอมพลัง มาชี้แจงข้อเท็จจริงการบริหารทรัพยากรของกองทัพในเหตุการณ์ความขัดแย้งชายแดน ไทย-กัมพูชา หลังมูลนิธิกัน จอมพลัง ลงไปช่วยและรับบริจาคสิ่งของจนถูกตั้งคำถามถึงงบประมาณของกองทัพ
นายชยพลกล่าวว่า ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้คำตอบ กมธ.มีจุดประสงค์ เนื่องจากมี 2 ส่วนที่มีการสื่อสารในทิศทางไม่ตรงกัน โดยภาคประชาชนที่หวังดีระบุว่ากองทัพมีความขาดแคลนอุปกรณ์ที่สำคัญต่อชีวิตของกำลังพล ยุทธวิธี และประสิทธิภาพในการทำงาน แต่กองทัพบอกว่าพร้อมทุกอย่าง ไม่มีอะไรขาดแคลน และไม่เคยขอรับบริจาค ทำให้เราต้องเชิญทั้งสองฝ่ายมาชี้แจงเพื่อให้เข้าใจต่อสถานภาพของกองทัพว่าพร้อมรบจริงหรือไม่ เพราะจะส่งผลต่อการบริหารกองทัพด้วยว่างบประมาณที่เราให้ไปแต่ละปีถูกใช้อย่างเหมาะสมหรือไม่ เพราะงบที่ขอมาเพื่อเตรียมความพร้อมในการรบ
นายชยพลกล่าวต่อว่า เราต้องการคำตอบอย่างตรงไปตรงมาจากกองทัพว่ามีอะไรขาดไปหรือไม่ และประชาชนที่อยู่หน้างานเห็นว่ามีปัญหาด้านไหน จะทำให้เราเห็นว่ามีจุดไหนที่ต้องขันนอต แต่วันนี้ยังมีคำถามที่ค้างคาใจหลายเรื่องที่คำตอบทั้งสองฝั่งยังไม่ตรงกันอยู่ดี
ด้าน น.ส.รัชนกกล่าวว่า สิ่งที่เราต้องการให้นายกันเอาออกมาโชว์คือหนังสือทุกฉบับที่กองทัพ หรือหน่วยงานร้องขอความอนุเคราะห์ ซึ่งนายกันโชว์ให้ดู 2 ฉบับที่ถ่ายจากมือถือ จึงไม่ทราบว่าเป็นหนังสือจริงหรือไม่ โดยเราได้ขอไปว่าอยากจะตรวจสอบว่าสุดท้ายแล้วกองทัพได้ร้องขออะไรไปบ้าง ก็ได้รับคำตอบว่าไม่สะดวกที่จะส่งให้ ต้องมีการสอบถามไปยังผู้ที่ร้องขอก่อนว่าต้องการให้ส่งให้หรือไม่ ทำให้ตั้งข้อสังเกตว่าหนังสือเหล่านั้นเป็นของจริงหรือเปล่า รวมถึงมีการปกปิดความจริงอะไรหรือไม่
น.ส.รัชนกกล่าวว่า เมื่อเราถามย้ำเรื่องการขอความอนุเคราะห์และการรับบริจาค นายกันก็เชิญชวนให้ไปลงพื้นที่หน้างาน ซึ่งตนทราบว่า กมธ.ได้ลงไปทุกพื้นที่แล้ว ที่มีข้อพิพาทสู้รบกันอยู่ จึงไม่อยากให้เบี่ยงเบนประเด็น และเมื่อถามทางกองทัพก็ได้คำตอบไม่ตรงกัน โดยนายกันชี้แจงว่าที่เปิดรับบริจาคเพราะกองทัพขาดแคลน แต่กองทัพย้ำว่าไม่ได้ขาดแคลนอะไร สิ่งของที่รับบริจาคมาเหมือนกับว่าปฏิเสธไม่ได้ แต่พอถามถึงใบอนุเคราะห์ โฆษกกองทัพบอกไม่ได้ว่าหน่วยต่างๆ ขอไปทางมูลนิธิหรือไม่
น.ส.รัชนกกล่าวอีกว่า สิ่งที่เราต้องตามคือส่วนต่างที่หายไปคืออะไร ถ้าหน่วยงานต่างๆ ตั้งงบมาซื้อเสื้อเกราะ หรือทำถนน งบมีการตั้งมาแล้ว แต่มีการของบสนับสนุนจากมูลนิธิ แล้วงบที่ขอไปไหน หรือโยกย้ายไปไหน มูลนิธิต่างๆ ที่เปิดรับโดยอ้างว่ากองทัพขาดแคลน ก็ต้องนำบางอย่างออกมาโชว์ว่าบริจาคอะไรให้กองทัพไปบ้าง ไม่เช่นนั้นผู้ที่บริจาคก็มีสิทธิตั้งข้อสงสัยว่าแอบอ้างกองทัพเพื่อรับประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่
“แค่ดิฉันถามว่ามีการขอความอนุเคราะห์ไปกี่ครั้ง นายกันก็ไม่ตอบ บอกว่าคนที่จ้างงานกำลังรออยู่ ส่วนกองกำลังบูรพาก็บอกไม่เคยไปขอ ขณะที่กองทัพภาคที่ 1 ก็ไม่ตอบ ส่วนทางโฆษกกองทัพบอกจะรวบรวมข้อมูลให้เพราะวันนี้ไม่ได้เตรียมมา กองทัพไม่ได้ขอ แต่หน่วยงานยิบย่อยอาจจะขอ ซึ่งทุกคนฟังแล้วโดยสามัญสำนึกก็เห็นว่ามันไม่ชัดเจน” น.ส.รักชนก
น.ส.รักชนกกล่าวว่า สิ่งที่ตนสงสัยคือ สุดท้ายแล้วกองทัพสามารถปกป้องชายแดนและมีความพร้อมที่จะปกป้องชีวิตทหารชั้นผู้น้อยที่เสียสละหรือไม่ เมื่อเกิดเช่นนี้แล้วจึงเข้าใจว่าทำไมทหารชั้นผู้น้อยจึงมองว่านายกันเป็นฮีโร่ เพราะระดับสูงในกองทัพไม่เคยพูดความจริงว่าทหารหน้างานต้องการอะไรเลย เป็นสิ่งที่เราต้องพูดคุยกันว่าการปฏิรูปกองทัพจะเดินหน้าอย่างไร และทำให้มีศักยภาพเต็มกำลังจริงๆ