| ผู้เขียน | นายพล |
|---|
โตโยต้าปรับใหญ่
บุกนวัตกรรมแห่งการขับเคลื่อน
นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโตโยต้าผู้นำยานยนต์โลก ท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรงจากค่ายรถยนต์จีนที่กรีธาทัพบุกไปทั่วโลก
ในงาน Toyota Motor Asia’s Media Day (โตโยต้า มอเตอร์ เอเชียส์ มีเดีย เดย์) งานประกาศนโยบายของโตโยต้าเอเชีย เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 โดยมีสื่อมวลชนจากทั่วเอเชียเข้าร่วมงานประมาณ 100 คน
งานนี้จัดขึ้นควบคู่ไปกับงาน Japan Mobility Show (แจแปน โมบิลิตี้ โชว์) ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น หรือชื่อเดิมคือ โตเกียว มอเตอร์โชว์ จัดทุก 2 ปี เป็นงานแสดงนวัตกรรมด้านการขับเคลื่อน ไม่ใช่แค่เฉพาะรถยนต์ เป็นงานยิ่งใหญ่ระดับโลกที่ทั่วโลกต่างจับจ้องว่า ค่ายญี่ปุ่นจะมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ และจะก้าวเดินไปในทิศทางไหน
งานนี้ผู้บริหารของ Toyota Asia ครอบคลุม โตโยต้า ประเทศไทย ประกาศกลยุทธ์องค์กรระดับภูมิภาค ตอกย้ำการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เชื่อมั่นในการเป็น “Best in Town (เบสท์ อิน ทาวน์)” หรือดีที่สุดในเมือง ผ่านแนวคิด Toyota Mobility Concept (โตโยต้า โมบิลิตี้คอนเซ็ปต์ หรือเทคโนโลยีต้นแบบในการขับเคลื่อน ผสานรวมแนวคิด 3 ประการ ได้แก่ Mobility1.0 การขยายคุณค่าของรถยนต์ Mobility2.0 ขยายการเข้าถึงโมบิลิตี้สู่โลกใหม่ และ Mobility3.0 บูรณาการ Mobility เข้ากับระบบสังคม เช่น การจัดการพลังงานหรือการจราจร
โตโยต้า ได้ประกาศการก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญปีนี้ ด้วยการขยายกลยุทธ์ Multi-Pathway (มัลติมีเดีย พาธเวย์) หรือกลยุทธ์หลายทางเลือก มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน รวมถึงการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ขับเคลื่อนไฟฟ้าระบบไฮบริดราคาประหยัด ด้วยการเปิดตัว ยาริส เอทีฟ รุ่นไฮบริด และการเริ่มต้นการผลิตรถยนต์ BEV หรือรถไฟฟ้าผลิตด้วยแบตเตอรี่ 100% ในอินโดนีเซียและไทย การประกาศเปิดตัวการทดลองใช้เชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับประเทศกลุ่ม Global South หรืออเมริกาใต้ การริเริ่มโครงการไฮโดรเจนด้วยการสาธิตสถานีเติมไฮโดรเจนในเอเชีย
ในอีก 3 ปีข้างหน้า แบรนด์โตโยต้าตั้งเป้าเปิดตัวรถยนต์ xEV หรือรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท เพิ่มอีกกว่า 10 รุ่นในเอเชีย สอดคล้องกับพันธกิจ “30 by 30 mission” มุ่งหวังจะจำหน่ายรถยนต์ xEV ให้ได้ 30% ทั่วอาเซียนภายในปี 2030 ส่งผลให้ยอดขายสะสมรถยนต์ xEV ของโตโยต้าในเอเชียคงจะสูงกว่า 1.5 ล้านคัน ภายในปี 2030 เทียบเท่ากับต้นไม้ 25 ล้านต้น หรือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 8 ล้านตัน
สำหรับตลาดประเทศไทย นายมาซาฮิโกะ มาเอดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาคเอเชีย บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ยืนยันว่า แม้มีเป้าหมายลดคาร์บอนอย่างจริงจัง แต่จะไม่เลิกผลิตรถยนต์รุ่นที่ใช้น้ำมันอย่างเดียวหันไปผลิตรถยนต์ไฮบริดเพราะรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในจะใช้เป็นฐานในการพัฒนารถยนต์พลังงานทดแทนหลากหลาย ส่วนตัวอยากให้รัฐบาลสนับสนุนพลังงานไบโอดีเซล
ส่วนสถานการณ์ตลาดรถยนต์เมืองไทย ค่ายรถจีนต่างใช้กลยุทธ์หั่นราคาอย่างรุนแรง ทิศทางตลาดรถยนต์ปีนี้ปีหน้าจะมีทิศทางอย่างไร นายมาเอดะบอกว่า ประเมินได้ยากมาก ไม่คิดมาก่อนว่าตลาดรถยนต์ประเทศไทยจะหดตัวขนาดนี้ ไม่คิดมาก่อนเลย เศรษฐกิจไทยทำไมเป็นอย่างนี้มันควรจะดีกว่านี้
แน่นอน ประเทศไทย ราคาไฟฟ้าถูก ก็เลยทำให้คนมองว่าซื้อรถจ่ายค่าเชื้อเพลิงแพง แต่ซื้อบีอีวีจ่ายค่าไฟถูก ต้นทุนถูก มีรุ่นใหม่ออกมาเรื่อยๆ ทำให้ถูกใจคนไทย แต่รถอีวีก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน เช่น ประกันรถยนต์แพงกว่ารถอีโคคาร์ แพงกว่ารถไฮบริด ราคาขายต่อไม่ดี และเชื่อว่าเทรนด์ในอนาคตคงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างทันที โตโยต้าจึงพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน พัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมาใหม่ๆ เราจะมีรถรุ่นใหม่ๆ ออกมาในช่วงปี 2 ปีนี้แล้วก็พยายามปรับให้มีความสดใหม่ของโปรดักต์ มีโครงการ ไอเอ็มวี ซีโร่คือปิกอัพแชมป์เพิ่งเปิดตัวไป รวมไปถึงแลนด์ครุยเซอร์ เอฟ เจ เซ็กเมนต์ใหม่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วก็ไฮลักซ์ รวมไปถึงรุ่นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็คงจะมีการเปลี่ยน เราจะมีการเพิ่มไฮบริดเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทย ลูกค้าไทยชอบของใหม่ เราก็เลยพยายามออกของใหม่ๆ ให้เร็วที่สุด และเราก็อยากรู้ว่าท้ายที่สุด ลูกค้าจะเลือกใคร
ส่วนในงาน Japan Mobility Show ปีนี้ โตโยต้าได้ประกาศเปิดตัวแบรนด์รถยนต์หลากหลายรุ่นชัดเจนขึ้น ได้แก่ เซ็นจูรี่ เลกซัส จีอาร์ โตโยต้า และไดฮัทสุ
ที่สำคัญการประกาศปั้นแบรนด์เซ็นจูรี่ เพื่อให้เป็นสุดยอดรถยนต์พรีเมียมอย่างจริงจังครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพราะจะทำให้ เลกซัส แบรนด์รถยนต์หรูของโตโยต้า มีความเป็นอิสระไม่ถูกจำกัดกรอบเฉพาะรถหรู แต่สามารถพัฒนาด้านเทคโนโลยีการบินส่วนบุคคลต้นแบบด้วย
สำหรับการปั้นแบรนด์เซ็นจูรี่ครั้งสำคัญครั้งนี้ โดยประกาศเปิดตัว รถเซ็นจูรี่ คูเป้ รุ่นใหม่ล่าสุด ความเอาจริงเอาจังสะท้อนผ่านท่าทีของผู้บริหารเบอร์หนึ่งของโตโยต้า
มร.อากิโอะ โตโยดะ ประธานคณะกรรมการบริหาร โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “การพัฒนา การผลิต และการขาย เซ็นจูรี่ เริ่มต้นในปี ค.ศ.1963 หรือ 30 ปีหลังจากโตโยต้าเริ่มผลิตรถยนต์ และเพียง 18 ปีหลังจากสิ้นสุดสงคราม ญี่ปุ่นในปัจจุบันมีอุตสาหกรรมยานยนต์แผ่ขยายไปทั่วโลก มีทักษะการผลิตที่ค้ำจุนประเทศ มีธรรมชาติสวยงามดึงดูดผู้คนทั่วโลก
มีวัฒนธรรมอาหารอันอุดมสมบูรณ์และจิตวิญญาณแห่งการต้อนรับขับสู้
มีการ์ตูนและแอนิเมชั่น กลายเป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังมีคนหนุ่มสาวในวงการดนตรีและกีฬายังคงเผยแพร่เสน่ห์ของญี่ปุ่นไปทั่วโลก
ผมเชื่อว่าตอนนี้ ถึงเวลาที่เราต้องการ เซ็นจูรี่ มากกว่าที่เคยมีมา
ว่ากันว่าชื่อ เซ็นจูรี่ มีที่มาจากวาระครบรอบ 100 ปีแห่งยุคเมจิ หรือวาระครบรอบ 100 ปีเกิดของ มร.ซากิจิ โตโยดะ ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทโตโยต้า แต่ผมจะขอตีความหมายว่า การพัฒนาอีก 100 ปี (Century) ข้างหน้า ตราสัญลักษณ์นกฟีนิกซ์สลักอยู่บนรถเซ็นจูรี่ เป็นนกในตำนานปรากฏเฉพาะในยามสันติภาพโลก เซ็นจูรี่ จึงเป็นมากกว่าแค่ชื่อรถยนต์
แต่หมายความถึงความปรารถนาอย่างจริงใจเพื่อสันติภาพโลก และความท้าทายในการพัฒนา 100 ปีข้างหน้า โดยเริ่มจากประเทศญี่ปุ่น”
“การเปิดตัว เซ็นจูรี่ แบรนด์ ในครั้งนี้ หรือ One of One (วันออฟวัน) หรืออย่าทำแบบเดิม เซ็นจูรี่ ไม่ได้เป็นแค่หนึ่งในแบรนด์ของโตโยต้า แต่เรามุ่งมั่นพัฒนาให้เป็นแบรนด์ที่สื่อสารจิตวิญญาณญี่ปุ่น หรือ Japan Pride (แจแปนไพรด์) หรือความภาคภูมิใจของญี่ปุ่น ไปทั่วโลก มาติดตาม Next century (เน็กซ์ เซ็นจูรี่) หรือศตวรรษหน้า กันต่อไป”
ประธานโตโยต้า กล่าวทิ้งท้ายบนเวทีด้วยท่าทีจริงจังและน้ำตาคลอเบ้า
นายพล