หนึ่งในโรคที่เป็นภัยเงียบ และคุกคามผู้หญิงอันดับหนึ่งนั้นก็คือ “มะเร็งเต้านม” โรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทยจำนวนไม่น้อยในแต่ละปี ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ปี 2565 ระบุว่า มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในหญิงไทย จำนวนกว่า 38,559 ราย รองลงมาคือ มะเร็งปากมดลูก จำนวน 12,956 ราย โดยเฉพาะในกลุ่มหญิงวัย 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยสูงถึง 19,776 ราย รองลงมาคือช่วงอายุ 50–59 ปี และ 40–49 ปี ตามลำดับ
โรคมะเร็งเต้านมมักไม่แสดงอาการในระยะแรก ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่ากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยง กว่าจะตรวจพบก็มักอยู่ในระยะที่ก้อนมะเร็งเริ่มอักเสบและลุกลาม ส่งผลให้โอกาสการรักษาหายขาดลดลงอย่างมาก กลุ่มเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ รวมถึงผู้ที่เคยตรวจพบก้อนในเต้านมมาก่อน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า การตรวจคัดกรอง คือเกราะป้องกันสำคัญ เพื่อให้ผู้หญิงไทยทุกคนได้ใช้ชีวิตอย่างมั่นใจและห่างไกลจากมะเร็งเต้านม
ในเดือนตุลาคม ซึ่งทั่วโลกถือเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยโรคมะเร็งเต้านม ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก และพันธมิตรชั้นนำ ได้จัดกิจกรรม “Find your Personal PINK ค้นหาวิธีป้องกันและรักษามะเร็งเต้านมที่ใช่ในแบบคุณ” เพื่อสร้างการตระหนักรู้เรื่องการคัดกรองมะเร็งเต้านมให้กับผู้หญิงไทย พร้อมส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการป้องกันและแนวทางการรักษาป้องกัน
ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร สาขาวิชาเวชพันธุศาสตร์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า สาเหตุของมะเร็งเต้านมส่วนหนึ่งมาจากการกลายพันธุ์ของยีนสำคัญ ได้แก่ BRCA1 และ BRCA2 โดยผู้ที่มียีนกลายพันธุ์ดังกล่าวมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูงถึง 80% การตรวจหาความผิดปกติของยีนจึงมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะช่วยให้ตรวจพบความเสี่ยงได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถวางแผนการรักษา คัดกรอง และป้องกันได้ตรงจุด ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความรุนแรงของโรค

ศ.นพ.มานพ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันการตรวจพันธุกรรม หรือการตรวจยีน เข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์ไทยมากขึ้น ทั้งในด้านการป้องกัน การตรวจคัดกรอง การวินิจฉัย ไปจนถึงการวางแผนการรักษาในโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีการตรวจยีนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษา เช่น PI3K, PTEN, AKT และ ESR1 เพื่อช่วยแพทย์กำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล
รศ.พญ.จารุวรรณ เอกวัลลภ หัวหน้าสาขาวิชาอายุรศาสตร์ มะเร็งวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งเต้านมจำนวนมากสามารถตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งหากอยู่ในระยะที่ 1 หรือ 2 การรักษาด้วยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวมักให้ผลลัพธ์ที่ดี และมีอัตราการรอดชีวิตสูง อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติของโรคมะเร็ง ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ แม้จะรักษาหายแล้วก็ตาม ทั้งนี้แพทย์จึงให้ความสำคัญกับการรักษาเสริมหลังการผ่าตัด เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรค ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยแนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็งและตัวบ่งชี้ทางชีวภาพของผู้ป่วยแต่ละราย
“ในผู้ป่วยที่มีตัวรับฮอร์โมน (Hormone Receptor Positive) มักได้รับการรักษาเสริมด้วยยาฮอร์โมนบำบัด ซึ่งปัจจุบันแนะนำให้ใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 5–10 ปี เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ส่วนกลุ่มที่มียีน HER2 แสดงออกมากกว่าปกติ ซึ่งในอดีตจัดเป็นกลุ่มที่มีพยากรณ์โรคไม่ดีนัก ปัจจุบันสามารถควบคุมโรคได้ดีขึ้นด้วยยามุ่งเป้า ที่ช่วยลดความเสี่ยงการแพร่กระจายและเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้อย่างชัดเจน สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด Triple-Negative ซึ่งไม่มีตัวรับฮอร์โมนและไม่มียีน HER2 ยังคงใช้การรักษาด้วยเคมีบำบัดเป็นหลัก โดยในบางรายอาจได้รับยามุ่งเป้าชนิดใหม่เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ขณะที่ผู้ป่วยที่มียีนกลายพันธุ์ BRCA1 หรือ BRCA2 ซึ่งเป็นชนิดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ปัจจุบันก็มีการใช้ยากลุ่มเฉพาะเพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้นเช่นกัน” รศ.พญ.จารุวรรณ กล่าว

รศ.พญ.จารุวรรณ กล่าวต่อว่า มะเร็งเต้านมเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ผู้หญิงทุกคนควรตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำทุกเดือนหลังหมดประจำเดือน และเข้ารับการตรวจจากแพทย์หรือตรวจเอกซเรย์เต้านมตามช่วงอายุที่กำหนด เพราะการรู้เร็ว ย่อมรักษาได้เร็ว และมีโอกาสกลับมามีชีวิตที่แข็งแรงเหมือนเดิม ปัจจุบันประเทศไทยมีระบบสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สปสช.) ที่ครอบคลุมการตรวจแมมโมแกรมสำหรับสตรีอายุ 40 ปีขึ้นไปโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้หญิงไทยไม่ควรมองข้าม

พญ.วราพรรณ นุ่มประสิทธิ์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า อาการของมะเร็งเต้านมระยะแรกมักไม่ชัดเจน ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว เพราะมักไม่มีอาการเจ็บ มีเพียงคลำพบก้อนหรือรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมะเร็งเสมอไป แต่หากพบความผิดปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย โดยมะเร็งเต้านมแบ่งเป็น 5 ระยะ โดยระยะ 0–2 ถือเป็นระยะต้นที่รักษาได้ดี การผ่าตัดในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องตัดเต้านมทั้งหมด เพราะมีเทคนิคที่เก็บเต้านมไว้ได้ โดยผลการรักษาไม่ต่างกัน ส่วนการเสริมเต้านมด้วยซิลิโคน ยังไม่มีหลักฐานว่าทำให้เสี่ยงมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น แต่อาจทำให้การตรวจติดตามยากขึ้น จึงควรตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

พญ.รุจิรา พัฒนวณิชกุล ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมสามารถช่วยให้พบโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้สูง โดยใช้ทั้งการตรวจเอกซเรย์เต้านม (แมมโมแกรม) และอัลตราซาวนด์ร่วมกัน เพราะมะเร็งระยะเริ่มต้นมักมีได้ทั้งแบบเป็นก้อนเล็ก ที่ตรวจพบด้วยอัลตราซาวนด์ และแบบที่เกิดจากหินปูน ซึ่งอัลตราซาวนด์อาจมองไม่เห็น จำเป็นต้องใช้แมมโมแกรมในการตรวจหาความผิดปกติที่ละเอียดกว่า
พญ.รุจิรา กล่าวถึงเทคโนโลยีตรวจแมมโมแกรมที่ได้รับการพัฒนาให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายมากขึ้น เครื่องสามารถซัพพอร์ตเต้านมโดยไม่ต้องบีบแน่นเหมือนในอดีต ขณะเดียวกัน ปริมาณรังสีที่ใช้ก็ต่ำมาก ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงไม่ควรกังวลหรือกลัวการตรวจ สำหรับผู้ที่เสริมเต้านมก็สามารถเข้ารับการตรวจได้อย่างปลอดภัย เพราะมีเทคนิคเฉพาะที่ช่วยป้องกันการกระทบต่อซิลิโคน ซึ่งซิลิโคนรุ่นใหม่มีความยืดหยุ่นสูง ไม่แตกหรือรั่วง่าย นอกจากนี้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลยังร่วมมือกับเพอเซ็ปทรา สตาร์ทอัพสัญชาติไทย พัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อช่วยวิเคราะห์และอ่านผลเอกซเรย์เต้านมได้แม่นยำถึงกว่า 94% ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับการวินิจฉัยมะเร็งเต้านมของไทย