อนุทิน ลั่นรัฐบาลเซ็น “เช็คเปล่า” ปราบสแกมเมอร์ โว 3 สัปดาห์ถอนสัญชาติขาใหญ่ รับให้ ‘วรภัค’ ลาออก หลังถูกครหาเอี่ยวธุรกิจสีเทา เหน็บ ไม่คิดแก้แค้นทำอย่างรัฐบาลที่แล้วใช้ กม.ทำลายคู่แข่งการเมือง ขณะ MOU แรร์เอิร์ธ ยก Thailand First ไทยไม่ยกสัมปทาน ไม่เสียโอกาสแน่นอน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย แสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อ“Thailand’s Next Forntier : A National Economic Vision” วิสัยทัศน์ประเทศไทยในโลกใหม่ สะท้อนแนวคิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สู่พรมแดนใหม่ของโอกาส การเติบโต และความยั่งยืน
นายอนุทิน กล่าวถึงการที่ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางธุรกิจสีเทา ว่า ต้องเข้าใจกันก่อนว่าสแกมเป็นธุรกิจถูกกฎหมายหรือไม่ แน่นอนว่าไม่ใช่ เป็นธุรกิจที่น่ารังเกียจ แต่อยู่ในประเทศที่มีระบบที่พัฒนามากแล้วไม่ได้ ต้องอยู่ในประเทศที่มีช่องว่างทางกฎหมาย แต่ประเทศไทยดันอยู่ตรงกลางในประเทศรอบ ๆ ที่สามารถทำสแกมได้ และประเทศไทยมีความน่าเชื่อถือที่สุดในภูมิภาคอินโดไชน่า ค่าเงินบาทเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ และคนที่ทำสแกมก็จะเก็บเงินตรา โดยใช้เงินบาท ตามข้อกำหนด (compliant)
นายอนุทิน ระบุต่อว่า ตลาดประเทศไทยเป็นตลาดที่รองรับธุรกิจได้ดีที่สุด ไทยอยู่ในภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitic) ที่อยู่ตรงกลาง และทำให้คนที่ทำธุรกิจเหล่านี้ ไม่ใช่แค่สแกมอย่างเดียว มีทั้งธุรกิจค้ามนุษย์ และยาเสพติด ก็ต้องใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการฟอกเงิน
ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ในประเทศไทย คือมีกฎหมายที่เคร่งครัดเข้มงวด และมีเจ้าหน้าที่ที่ต้องตั้งใจในการปราบปราม ไทยมีกลไก ทั้ง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งมีกลไกอย่างกองบัญชาการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แต่เสียงเหล่านี้เป็นเรื่องทางปฎิบัติ ในทางรัฐหากบอกไปว่าทำอะไรหรือทำอย่างไร เทคโนโลยีเทคโนโลยีมันเปลี่ยนทุกวัน
จึงบอกเจ้าหน้าที่ว่าเราต้องอยู่เหนือกว่าคนที่กระทำผิดเสมอ ไม่ใช่ไปไล่จับคนกระทำผิด 4 เดือนนี้จะต้องเร่งปราบปรามเรื่องสแกม ยาเสพติด และค้ามนุษย์ ขอให้รัฐบาลได้สนับสนุนในการทำงานอย่างเต็มที่ และการเกรงกลัวกับอิทธิพลใด ๆ นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เลขาฯ ปปง. เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และหน่วยตรวจสอบทั้งหลาย ว่าเราเป็นรัฐบาลไม่มีนักเลง มาเฟีย หรือขาใหญ่คนไหนที่จะใหญ่กว่ารัฐบาลได้ในเมื่อรัฐบาลไม่กลัวผู้ปฏิบัติก็ต้องไม่กลัว
นายอนุทิน ระบุอีกว่า รัฐบาลได้เซ็นเช็คเปล่า ในการสนับสนุนเพื่อปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้ มีการพูดคุยกันทุกวัน และผลงานมีอยู่โดยตลอด ทั้งเรื่องยาเสพติดเดือนเดียวจับได้หลายล้านเม็ด เรื่องสแกมก็ยึดทรัพย์ได้เยอะมาก สัปดาห์ที่แล้วก็ได้มีการถอนสัญชาติขาใหญ่สแกมเมอร์ รัฐบาลเข้ามาทำงาน 3 สัปดาห์ได้ทำการถอนสัญชาติไปแล้วไม่เกรงกลัวใคร แม้ว่าจะมีการอ้างว่ามีแม่เป็นคนไทย แต่เมื่อสืบแล้วไม่ใช่ก็ได้มีการถอนสัญชาติและอายัติทรัพย์
ขณะที่ กระแสข่าวเรื่องนายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มีส่วนเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ นายอนุทิน กล่าวว่า นายวรภัค เป็นผู้ถูกครหาไม่ได้ถูกกล่าวหา แต่เมื่อมีข่าวออกมาเรื่อย ๆ ก็ต้องบอกตรง ๆ ตนก็เป็นคนบอกให้ลาออกเอง และทางนายวรภัค ก็ให้ความร่วมมืออย่างดี เพราะอดีตรัฐมนตรีคนดังกล่าว ยังอยู่ในกระทรวงที่ต้องใช้กลไกในการปราบปรามสิ่งเหล่านี้อยู่ ก็มีการแสดงสปิริตทันที
ส่วนเรื่องการดำเนินการต่าง ๆ ไม่มีทางที่จะพ้นไปจากหน่วยงานที่กำลังดำเนินการหากไม่ผิดก็คือไม่ผิด
นายอนุทิน ระบุด้วยว่า การใช้กฎหมายในรัฐบาลของตน มุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมและรูปคดี ไม่ใช่บอกว่าเกลียดคนนี้ เดี๋ยวมาเป็นคู่แข่งทางการเมือง เหมือนที่พวกตนเคยโดนมา ยืนยันไม่ย้อนรอยสิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่พยายามใช้กลไกของรัฐมากีดกันคู่แข่งทางการเมืองเป็นสิ่งที่ประเทศที่มีอารยะไม่ทำ นักการเมืองมาทะเลาะกันใช้กลไกรัฐ มาโจมตีกันคนที่เดือดร้อนคือประชาชน
พร้อมย้ำว่าไม่ทำในรัฐบาลนี้ไม่มี หากจะทำก็ทำได้ เพราะตนเป็นนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย และกำกับดูแลหน่วยงานสำคัญ ถ้าเจ้าคิดเจ้าแค้น สนุกเลย เดือนเดียวก็ทำได้แล้ว คิดว่าสิ่งเหล่านี้ต้องเปลี่ยน มาที่เวลาขึ้นเวทีโลกก็จะเจอคำว่า Inclusive (การรวมอยู่ด้วยกัน) Judge (การตัดสิน) Resilience (ความยืดหยุ่น) Transparency (ความโปร่งใส)
ส่วนที่ไทยได้ลงนามปฏิญญาเพื่อนำไปสู่สันติภาพไทย-กัมพูชา (Joint Decoration) ทำเพื่อหยุดสงคราม ในการเป็นนายกรัฐมนตรีจะทำให้ประเทศมีสงครามไม่ได้ เป็นหน้าที่ต้องทำให้ประเทศสงบสุข หลายประเทศมองสงครามเป็นของของหวาน การนำประเทศเข้าสู่สงครามบางครั้งเหมือนเป็นเรื่องที่นิยม แต่ประเทศไทยไม่มีสงครามดีกว่า เพราะเราเป็นตัวของเราเองมีเอกราชมาโดยตลอด เป็นที่น่าเกรงขามของอริราชศัตรู ตนลงนามเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม และไม่ให้ไทยเสียดินแดน ไม่มีจุดไหนที่ไทยจะยอมแลก และทำให้เกิดความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนคนไทย และไปเพื่อให้เห็นว่าอย่าได้คิดรุกรานประเทศไทย
ทั้งนี้ เชื่อว่าคำพูดเหล่านี้ได้ถูกส่งไปที่คู่กรณีอย่างชัดเจน และมีประธานของกลุ่มภาคีสมาชิกอาเซียนร่วมเป็นสักขีพยาน รวมถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เป็นตัวแทนประชาคมโลกร่วมเป็นพยาน สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความมั่นใจว่าประเทศไทยจะไม่มีสงคราม ถ้าทุกอย่างได้ถูกปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงที่ได้ตกลงกันไว้
นายอนุทิน ระบุด้วยว่า เรื่องของปฏิญญา เป็นเรื่องของการยุติสงคราม และเป็นประตูแรกที่จะนำไปสู่สันติภาพ เราไม่มีปัญหาไทยมีสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศ และอยากมีความสัมพันธ์ที่ดีโดยไม่มีช่องว่าง วงกลมจะได้ครบรู ถ้าวงกลมขาดไป ในช่วง 04:00 น.ตามภาษาของนักบิน ก็จะทำให้เราไม่สามารถขับเคลื่อนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เข้าใจและฟังประชาชนเสมอ มูลค่าการค้าขายตลอดชายแดน 170,000 ล้านบาท ไทยขายให้มากกว่า แต่การปิดด่านทำให้เม็ดเงินลดลง ประชาชนบอกว่าเสียหายไม่เป็นไร แต่ถ้าอยู่แบบนี้อีก 20-30 ปีคงไม่ได้ ในจุดแรกที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้ ข้อแรกของปฏิญญาเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายต้องปฏิบัติมัน และจะใช้เป็นหนทางนำไปสู่การฟื้นฟูสิ่งที่เราได้เสียหายให้กลับมาดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม การลงนามใน MOU แรร์เอิร์ธ เป็นเรื่องบังเอิญ (Coincident) ตนต้องการขายหินในราคาทองคำ ไม่ต้องการชั่งกิโลขายแต่ต้องการขายเป็นเม็ด ๆ ถูกสอนเช่นนี้มาตั้งแต่อยู่ภาคเอกชนว่าถ้าจะขายของต้องซื้อมาเป็นเมตรแต่ตัดขายเป็นนิ้ว คำว่าแรร์เอิร์ธ ไทยไม่ได้ให้สัมปทานไทยแต่มีโอกาสที่เราจะมีแร่ธาตุหายากเหล่านี้ถ้าสามารถนำไปถลุงหรือแปรสภาพ อาจจะกลายเป็นเป็นวัสดุที่สร้างขึ้นมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่าได้เยอะ
แต่ธาตุเหล่านี้จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าเพิ่มมูลค่าให้กับประเทศไทยและถ้าเป็นแบบนี้ก็ดีเพราะเรามีความรู้ด้านนี้น้อยมาก หากมีผู้ที่มาร่วมมือกันและร่วมกันศึกษา เพราะเวลาจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานใด ๆ ต้องใช้ต่างชาติเข้ามาช่วย ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจเราใหญ่มากขึ้น
จากที่เราจ้างต่างชาติก็มาเป็น Joint Venger เริ่มเป็นจากเขาทำแทนเรา เราเป็นผู้รับสัญญาหลัก หากมีมูลค่า ก็ต้องตั้งกฎมา มีกฎหมาย มี TOR และมาพัฒนาแร่ธาตุ ไม่ใช่การทำสัมปทานกับใคร ตนต้อง Thailand First คนไทยต้องมีส่วนร่วม หาแต้มต่อให้คนไทยให้ได้ เรื่องแรร์เอิร์ธไม่ใช่ไทยเพียงคนเดียวที่ลงนาม ยังมีอีก 8 ประเทศ นี่เราเพียงแค่เสนอตัวเข้ามาศึกษา ใครจะเสนอตัวเข้ามาหาโอกาสเอาช่องทางมาให้ ไทยเราต้องรับฟังและนำไปพิจารณา ไม่มีอะไรแตกต่างจากที่ลงนามเรื่องอื่นเลย