‘ห้องของศรี’ รสชาติ ความทรงจำ และความอบอุ่นจากอาหารของแม่
หากเอ่ยถึง “อาหาร” หลายคนอาจนึกถึงเพียงเรื่องของรสชาติ แต่สำหรับบางคน อาหารคือ “เรื่องเล่า” ที่บรรจุความทรงจำ ความผูกพัน และอ้อมกอดของวันวานไว้ในทุกคำที่ได้ลิ้มลอง เช่นเดียวกับ “แอ็ค วงศ์วิชญ์ ศรีภิญโญ” ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวของ “คุณแม่” ที่ชื่อว่า “ศรีตราด” ผ่านกลิ่น รส และบรรยากาศในร้านอาหารที่ชื่อว่า “ห้องของศรี” (Sri’room) ร้านอาหารที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ความตั้งใจ และความทรงจำอันงดงาม ห้องของศรีจึงเป็นบทที่ 3 ของชีวิตคุณแม่ อดีตนางงาม จ.ตราด ผู้เป็นแรงบันดาลใจในทุกจานอาหาร
“ศรีตราด” ไม่ได้เป็นเพียงชื่อร้านแรกในปฐมบทไตรภาคของเรื่องราวนี้เท่านั้น แต่มาจากชื่อของคุณแม่ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ ความอ่อนโยน และความละเอียดละเมียดในทุกสิ่งที่ทำ โดยเฉพาะ “อาหาร” ที่กลายเป็นภาษาของความรักที่เธอสื่อสารกับลูกชาย และต่อมาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขา “ร้อยเรียง” เรื่องราวเหล่านั้นผ่านจานอาหาร

จากร้าน “ศรีตราด” ที่เริ่มต้นบนถนนสุขุมวิท 33 ถ่ายทอดรสชาติและกลิ่นอายของบ้านเกิด ต่อด้วยร้าน “บูรพา” ที่เล่าเรื่องหญิงสาววัย 19 ปี ผู้กล้าก้าวออกจากบ้านเกิดขึ้นรถไฟเพื่อไปตามหาความฝัน และบทล่าสุดของเรื่องราวชีวิตนี้ คือ “ห้องของศรี” บ้านหลังเล็กกลางเมืองใหญ่ ที่แอ็คตั้งใจให้เป็นพื้นที่แห่งความอบอุ่น เสมือนการได้กลับบ้าน ได้กลิ่นกับข้าวฝีมือแม่ และได้ยินเสียงหัวเราะในครัวอีกครั้ง
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในบริเวณร้าน ความรู้สึกแรกคือ “คิดถึงวันวาน” ทั้งรอยยิ้มจากพนักงานไปเพลงเก่าคลาสสิก ไปจนถึงการประดับตกแต่ง โทนสีที่ใช้ ทำให้แขกอย่างเราอดคิดถึงความเป็น “บาร์” ในยุค 70’s ไม่ได้
ซึ่งเมนูเรียกน้ำย่อยจานแรกที่เราได้ชิมคือ “ขนมครก พร้าวเผ็ด พร้าวหวาน” เมนูที่แปลกใหม่แต่คุ้นเคย ขนมครกครึ่งหนึ่งหอมมันจากพร้าวหวาน ส่วนอีกครึ่งแฝงรสเผ็ดซ่อนเปรี้ยวจากพร้าวเผ็ด เมื่อรับประทานพร้อมกัน รสชาติทั้งสองฝั่งกลับประสานกันอย่างลงตัว

ตามด้วยเมนูที่สะท้อนเอกลักษณ์ของอาหารภาคตะวันออกได้อย่างน่าทึ่ง คือ “เนื้อสะเบือก” ซึ่งคำว่า “สะเบือก” หมายถึง “ยำ” เมนูนี้แขกสามารถเลือกได้ว่าจะทานหมูหรือเนื้อ แต่หากเลือกเนื้อ ทางร้านจะเสิร์ฟแบบ medium rare ให้เนื้อนุ่มกำลังดี ก่อนนำมาคลุกเคล้ากับเครื่องยำจากสมุนไพรพื้นถิ่นภาคตะวันออก รสชาติเปรี้ยว เค็ม เผ็ด กลมกล่อม ครบรสในคำเดียว เหมือนเรื่องราวชีวิตของหญิงสาวที่ผ่านทั้งความหวาน ความขม และความกล้าที่จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

อีกหนึ่งจานที่กระตุ้นต่อมอยากอาหารไม่แพ้กันอย่าง “คำปลาดอกไม้พล่า” เมี่ยงคำสไตล์ภาคตะวันออกที่พัฒนามาจากเมนู “ปลาพล่าน้ำดอกไม้” อันโด่งดังของร้านศรีตราด จุดเด่นอยู่ที่กรรมวิธีการรีดเลือดออกจากเนื้อปลาอย่างพิถีพิถัน ทำให้เนื้อปลาใสสะอาด ไม่มีกลิ่นคาว ก่อนจะนำมาปรุงรสด้วยสมุนไพรและน้ำพล่าที่ให้ความสดชื่น เปรี้ยว เค็ม เผ็ด

หลังจากดื่มด่ำเรื่องราวผ่านจานอาหารเรียกน้ำย่อยทั้งสามเมนูแล้ว เดินทางมาสู่บทถัดไปในเมนูหลัก เริ่มแรกที่รสชาติของบ้านเกิดอย่าง “น้ำพริกกุ้งเสียบตราด” ที่เสิร์ฟพร้อมผักแนมหลากสี น้ำพริกนี้ใช้กะปิอย่างดีจากเกาะช้าง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และรสเค็มกลมกล่อมกำลังดี

อีกเมนูที่หากไม่ได้ลิ้มลองถือว่าพลาดคือ “แกงหมูชะมวง” รสเปรี้ยวละมุนจากใบชะมวงตัดกับความมันของหมูสามชั้นอย่างพอดี ทุกคำคือความเรียบง่ายที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ เหมือนเมนูจากครัวบ้านที่แม่ปรุงให้ลูกกินในวันที่ฝนตก
รวมถึงเมนูหาทานยากอย่าง “กระดูกหมูต้มถั่ว” และข้าวหยำน้ำพริกไข่ปู ที่ทั้งหอมและเข้มข้น เป็นการย้ำเตือนว่าอาหารภาคตะวันออกนั้นมีเสน่ห์เฉพาะตัว ทั้งในรสชาติและภูมิปัญญาที่สืบต่อกันมา

นอกจากนั้น เมื่อเดินขึ้นชั้นสองของร้าน บรรยากาศจะเปลี่ยนจากความคึกคักของครัวและกลิ่นอาหาร มาเป็นความสงบ อบอุ่น เพื่อก้าวเข้าสู่ “ห้องเย็บผ้าของคุณแม่” แอ็คตั้งใจออกแบบให้พื้นที่นี้เป็นห้องแห่งความทรงจำ ตกแต่งด้วยจักรเย็บผ้าเก่า ผืนผ้า ด้าย และของรักของหวงของแม่ทุกชิ้น
ที่นี่คือพื้นที่สำหรับ “เชฟเทเบิล” ซึ่งแขกสามารถเปิดประสบการณ์การรับประทานอาหารแบบใกล้ชิด โดยเมนูจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ทุกจานเป็นเหมือนบทสนทนาระหว่างเชฟกับแขกผู้มาเยือน ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านรสชาติที่ไม่ซ้ำวัน เหมือนความทรงจำที่เปลี่ยนแปลงแต่ยังคงอบอุ่นเสมอ

ในมุมหนึ่งของร้านยังมีบาร์เล็กๆ ที่อบอวลด้วยแสงสีอบอุ่น และเสียงเพลงจากยุค 70’s-80’s ที่ดังคลอเบาๆ ซึ่งบาร์แห่งนี้มีค็อกเทลทั้งหมด 7 แบบ แต่ละแก้วได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทเพลงในยุคนั้น
เรียกได้ว่า “ห้องของศรี” ไม่ได้เป็นเพียงร้านอาหารที่เสิร์ฟเมนูรสอร่อยเท่านั้น แต่ยังเป็น “งานศิลปะ” ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิต ผ่านรสชาติ กลิ่น และบรรยากาศ ทุกจานเหมือนภาพวาดที่ศิลปินลงแรงและหัวใจไปกับทุกลายเส้น

แอ็คเล่าว่า เขาไม่ได้ต้องการเพียงให้คนมาทานอาหารให้อิ่มเท่านั้น แต่หวังให้แขกได้สัมผัส “ความรู้สึก” ของการกลับบ้าน ความอบอุ่นของครอบครัว และความภูมิใจในรสชาติอาหารไทย โดยเฉพาะอาหารภาคตะวันออกที่หลายคนอาจยังไม่รู้จักมากนัก
“อาหารภาคตะวันออกมีเสน่ห์ในแบบของมันเอง” เขาว่า “มันไม่หวือหวา แต่ลึกซึ้ง มีรสจัดจ้านแต่ไม่รุนแรง มีความละเอียดและสมดุล”
“อาหาร” ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่หล่อเลี้ยงร่างกาย หากแต่เป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยง “หัวใจ” ให้ยังจำได้ว่าเราเคยเป็นใคร มาจากที่ไหน และยังมี “บ้าน” ให้กลับไปเสมอ และ “ห้องของศรี” คือบ้านหลังนั้น บ้านที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอาหาร เพลงเก่า และความทรงจำที่ยังคงหอมหวานไม่รู้ลืม
สัมผัสบรรยากาศของวันวานได้ที่ “ห้องของศรี” ชั้น G, ศูนย์การค้าสยามพารากอน ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น.

