‘ChartSum-AI ’ปิดจุดอ่อนขาดทุนโรงพยาบาล
GH News November 14, 2025 08:09 AM

เบื้องหลังในความเป๋นโรงพยาบาลมีความซับซ้อน ยุ่งยาก ยุ่งเหยิง เกินกว่าที่คนภายนอกจะจินตนาการออก  ปัญหาอย่างหนึ่งของโรงพยาบาลรัฐ และอยู่ภายใต้ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช) หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า บัตรทอง หรือ 40 บาทรักษาทุกโรค นั้นก็คือ การเบิกจ่ายงบประมาณจากสปสช.

แน่นอนว่าการเบิกค่าใช้จ่ายของรพ . กับสปสช จะต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่สปสช กำหนด แต่ในความเป็นจริง มีรายการขอเบิกจ่ายหลุดรอดไป ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตรงกับความเป็นจริงที่รพ ให้บริการรักษาพยาบาลกับผู้ป่วยอีกเป็นจำนวนมาก  และนี่เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้รพ ที่อยู่ในระบบบัตรทองมากมายหลายแห่ง ต้องประสบกับภาวะขาดทุน

สถานการณ์ดังกล่าว  ได้กลายเป็นโจทย์ให้ คุณหมอรุ่นใหม่ไฟแรง อย่าง นพ . รพีพัฒน์ ศรีจันทร์ คุณหมอหนุ่มวัย 32ปี   ผู้ก่อตั้งบริษัท สาติ จำกัด (Sati Co., Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านสุขภาพ  เกิดจากการรวมตัวกลุ่มเพื่อน ที่มีอาชีพแพทย์ 3คน และพื่อนในวัยเด็กทีจบด้านไอที จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าลาดกระบัง ได้รวมตัวกัน คิดค้นโปรแกรมเพิ่อแก้ปัญหา การเบิกจ่ายงบฯการรักษาของรพ ที่ตกหล่นไป ด้วยช่องโหว่บางอย่างของระบบการทำงานในรพ  ให้กลายเป็นตัวเลขที่สะท้อนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ในการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยบัตรทอง

นพ . รพีพัฒน์ กล่าวว่า จากการสำรวจ รพ ทั่วประเทศ เราพบว่ามีปัญหาเดียวกัน คือ เรื่องการเบิกจ่ายไม่ครบ หรือที่เรียกว่า Under claim หรือการเบิกน้อยกว่าที่ควร เพราะเวลาตรวจรักษาคนไข้คนหนึ่ง อาจจะไม่ได้มีแค่โรคเดียว แต่มีหลายโรค ที่ต้องมีการรักษา ต้องจ่ายยา แต่รายจ่ายเหล่านี้  ไม่ได้ปรากฎในการเบิกจ่าย เนื่องด้วยระบบการคัดกรองข้อมูลไม่สามารถดึงหรือแยกแยะข้อมูลส่วนนี้ออกมาได้   เพราะเวลาที่หมอเขียนในเวชระเบียน จะเขียนแบบยาว เรียงเนื้อหา แยกแยะรายละเอียดการรักษา ทำให้เวลาทำเบิกจ่าย  การรักษาโรคอื่นๆ จะไม่ได้ปรากฎชัดเจน  ในรายจ่าย ของรพ.

“ปัญหานี้ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมไม่มีการดูแลเอกสารหลังบ้าน  เป็นปัญหาของรพ.ทุกที่ คือปัญหาบริหารจัดการข้อมูลอื่นๆ ซึ่งเป็นที่มาทำให้เกิดUnder claim  ข้อมูลไม่ได้ส่งต่อเพื่อการเบิก และเราสำรวจแล้วพบว่ามีรพ.ที่มีปัญหาเบิกน้อยกว่าความเป็นจริง 20% ทำให้รายได้ที่รพ.ควรจะได้หายไป”

นอกจากเกิดUnder claim  แล้ว นพ.รพัพัฒน์ บอกอีกว่า ปัญหาที่ตามมาอีกประการก็คือ การเกิดOverClaim หรีอการเบิกเกินกว่าหลักฐานที่มีอยู่  ปัญหานี้มักเกิดจากรักษาแล้ว ไม่มีการบันทึกข้อมูล ข้อมูลจึงไม่ครบถ้วน เช่น ลืมบันทึกโรคประจำตัวบางอย่างที่ให้การรักษาไปแล้ว ทำให้เมื่อส่งเบิกไปแล้วมีการเรียกเงินคืนในภายหลัง

นพ . รพีพัฒน์ ศรีจันทร์

“ระบบของรพ.การจะทำเรื่องเบิกค่าใช้จ่ายได้ จะต้องมีการสรุป คนสรุปคือหมอเจ้าของไข้ ตามมาด้วยนักสถิติ และหมอใหญ่ จะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของรพ. และใช้เวลาไม่ต่ำกว่า  30 วัน กว่าจะสรุป ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อยากเรียกว่า ปัญหาโครงสร้างระบบข้อมูลทางการแพทย์  เป็นการใช้บุคลากรไปกับงานเอกสารที่เสียเวลา และข้อมูลก็กระจัดกระจาย  ไม่มีโครงสร้าง หรือunstructured data   โดยเฉพาะข้อมูลส่วนใหญ่ประมาณ 80% เป็น unstructured data คือพิมพ์เป็นข้อความยาวๆ เหมือนไฟล์ Word”

ช่องโหว่ระบบข้อมูลดังกล่าว ทำให้ บริษัท สาติ จำกัด  ที่เปิดตัวเมื่อปี 2565 กำเนิดขึ้น  จุดประสงค์ เป็นการยกระดับการจัดการข้อมูลทางการแพทย์ด้วย AI หรือเป็นระบบจัดการข้อมูลอัตโนมัติสำหรับการประมวลผลข้อมูลเวชระเบียน  และการตรวจสอบ เวชระเบียน นับเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานข้อมูลของโรงพยาบาล ที่สำคัญคือ เป็นการยกระดับคุณภาพมาตรฐานของข้อมูลการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล และลดภาระงาน ด้านเอกสารของบุคลากรทางการแพทย์

“ผมพบปัญหาเรื่องภาระงานเอกสาร ตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษาแพทย์มาฝึกงานที่รพ.   ซึ่งพอที่เราเริ่มเข้าไปทำงานในโรงพยาบาล เรารู้สึกเราเริ่ม suffer กับตัวระบบ หมายความว่า suffer ตัวระบบก็คืองานซ้ำซ้อนในแต่ละวันที่เราต้องทำค่อนข้างเยอะ พบว่าหมอมีงานที่ซ้ำซ้อน  เป็นงานRoutine ต้องใช้เวลาประมาณ 60% ไปกับงานเอกสาร ทำให้ไม่มีเวลามา Focus คนไข้ได้เต็มที่  ตั้งแต่สมัยนั้น ผมก็คิดว่า ว่าเฮ้ย ทำไมมันไม่มีระบบอะไรซักอย่างนึง เข้ามาช่วยทำให้เราสามารถดูแลคนไข้ได้จริงๆ   แทนที่เราจะเอาเวลาที่ต้องไปทำงานเอกสารหลังบ้านเนี่ย มาดูแลคนไข้ดูแลคนไข้มีเวลาอยู่กับเราเพิ่มอีกตั้งเท่าตัว โดยที่แบบงานนี้ก็ให้มันออฟโหลดไป” นพ.รพีพัฒน์กล่าว

ข้อความข้างต้น เป็นแรงบันดาล ทำให้เกิด “สาติ “ซึ่งมีโปรแกรมที่เรียกว่า “ChartSum – AI “แพลตฟอร์มอัจฉริยะ ทำหน้าที่  ประมวลผลข้อมูลทางคลินิก  ช่วยสรุปและตรวจสอบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์  (EMRs) แบบอัตโนมัติ  ความสามารถหลักๆ ก็มีดังนี้ คือ  เพิ่มความถูกต้องของการเบิกจ่าย ด้วยระบบรหัสมาตรฐาน (ICD, DRG, SNOMED-CT  เป็นต้น  ช่วยลดระยะเวลาในการทำงาน ด้วยระบบช่วยสรุปชาร์ตและตรวจสอบการเบิกจ่ายอัตโนมัติ   ลดข้อผิดพลาด ด้วยการตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างการวินิจฉัย การสั่งหัตถการ ยา  และรายการค่าใช้จ่าย  นอกจากนี้  ChartSum ยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (HIS) ขั้นนำ เช่น HOSxP  ภายในระยะเวลา 4 สัปดาห์ และสามารถปรับใช้กับระบบ HIS อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน  

3ปี หลังก่อตั้ง มี โรงพยาบาลหลายแห่ง นำระบบนี้ไปใช้ ได้เแก่ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ศรีพัฒน์เมดิคอลเซ็นเตอร์ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์  รพ.มหาราชนครราชสีมา     และรพ.น่านที่เริ่มเมื่อกลางปี นอกจากนี้ ยังมีรพ.ขนาด 30-60 เตียง ในจ.เชียงราย อีกหลายแห่งที่นำระบบจัดอากรข้อมูลอัติโนมัตินี้ไไปใช้ ในเชิงสถิติ มีการใช้งานแล้วมากกว่า 600,000 เคส  สามารถลดเวลาการทำงานของบุคลากรได้มากกว่า 9,000 ชั่วโมง

ที่สำคัญในการในการตรวจสอบเวชระเบียนดังกล่าว สามารถเพิ่มอัตราการอนุมัติการเบิกจ่าย และลดการสูญเสียรายได้จากความผิดพลาดในการลงรหัส  ช่วยลดความเสี่ยงทางด้านการเงินของโรงพยาบาล ด้วยโครงสร้างค่าบริการแบบแบ่งรายได้  (Revenue Sharing) โดยไม่ต้องลงทุนระบบในวงเงินสูงล่วงหน้า และสามารถ เห็นผลลัพธ์ ทางการเงินได้อย่างชัดเจน

“เราพบว่าระบบChartSum – AI  สามารถช่วยให้การเบิกจ่ายเงินของรพ. กว้างขึ้นถึง5-60% แต่ระดับการเบิกจ่ายจะได้เพิ่มมากขึ้นแค่ไหน ขึ้นอยู่กับคุณภาพ การจัดการข้อมูลเดิมของรพ.แต่ละแห่งด้วย ถ้าเดิมไม่ค่อยมีคุณภาพ ก็จะทำให้ตัวเลขการเบิกจ่ายก้าวกระโดดได้”

ในฐานะเป็นสตาร์ทอัพด้านสุขภาพ  “สาติ” มีแผนที่จะบุกเมืองหลวงอย่างกรุงเทพ ฯ นพ.รพัพัฒน์บอกว่า มีโรงพยาบาลหลายแห่งที่อยู่ภายใต้สปสช. และระบบราชการ ที่มีปัญหาด้านเอกสารและการเบิกจ่าย ที่สนใจแพลตฟอร์มของสาติ นอกจากนี้ ยังมีรพ.เอกชนอีกหลายที่ ที่ยังมีปัญหาเรื่องเอกสารเบิกจ่าย  รวมทั้งจะขยายไปยังกลุ่ม บริษัทประกันต่างๆ  เพราะประกันจะต้องใช้ข้อมูลอ้างอิงร่วมกับโรงพยาบาล  หากระบบถูกนำไปใช้กับบริษัทประกันจะเป็น ระบบ Audit  เพื่อตรวจสอบข้อมูลที่ส่งเบิก และดูเรื่องการทุจริตด้วย

‘สาติ” ยังมีแผนบุกตลาดต่างประเทศอย่างสิงคโปร์ และอินโดนีเซีย นพ.รพีพัฒน์ บอกว่า โรงพยาบาลสองประเทศนี้ แม้แต่สิงคโปร์ ก็ยังมีปัญหาเรื่องการใช้คนทำ Medical Billing และข้อมูลยังเป็นแบบ Manual ซึ่งมีปัญหาอย่างแน่นอน

แต่เป้าหมายทางธุรกิจ ของ”สาติ “คิดไปไกลกว่านั้น นพ.รพีพัฒน์ เผยว่า  ทีมงานไม่ได้มองแค่การเป็นโปรแกรมสรุปชาร์จข้อมูล  แต่ต้องการเป็นเหมือน CFO และ COO ให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน เพื่อช่วยดูแลเรื่องประสิทธิภาพ  และความยั่งยืนทางการเงิน   โดยใช้ข้อมูลที่จัดการอย่างดีมาช่วยในการบริหารจัดการ

“ที่เราคิดไว้อีกอย่างของการพัฒนาระบบก็คือ การแก้ปัญหาที่ต้นทาง  เฟสต่อไปคือการติดตั้งระบบเพื่อ แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ ณ ตอนที่แพทย์กำลังตรวจอยู่ หากลืมลงข้อมูลสำคัญบางอย่าง”นพ.รพีพัฒน์ คุณหมอรุ่นใหม่ไฟแรงกล่าว.

ผู้สนใจ สาติ สามารถติดต่อทาง เว็บไซต์: www.sati.co.th  หรือ อีเมล: [email protected]

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.