แพทย์จุฬาภรณ์เตือน ‘เบาหวานในวัยทำงาน’ เสี่ยงตาบอดถาวร แนะปรับพฤติกรรม
GH News November 15, 2025 11:00 PM

รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย

ดังนั้น คลินิกเบาหวานและโรคเมตาบอลิก โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จึงได้จัดกิจกรรม วันเบาหวานโลก ประจำปี 2568 “ฟิตร่างกาย ฟิตชีวิต พิชิตเบาหวาน” เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา

เพื่อสร้างความตระหนักรู้และความสำคัญเกี่ยวกับโรคเบาหวานซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันตรวจสุขภาพโรคเบาหวานประจำปี เพื่อตรวจเช็กร่างกายของตนเองอย่างสม่ำเสมอ

ทั้งยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนเห็นคุณค่าของการป้องกันโรคเบาหวาน และหันมาใส่ใจสุขภาพของตนเอง เพราะ “การป้องกันที่ดีที่สุด คือการเริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้”

โดยมี รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยทีม แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ ต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิก นักวิทยาศาสตร์การกีฬา และนักกำหนดอาหารวิชาชีพเข้าร่วมในงาน

กิจกรรมจัดขึ้น ณ ชั้น 1 อาคารกรมพระศรีสวางควัฒน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ

ทั้งนี้ คลินิกเบาหวานและโรคเมตาบอลิก โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ในฐานะที่เป็นหน่วยให้บริการดูแลรักษาโรคเบาหวานอย่างครบวงจร เล็งเห็นความสำคัญของการจัดกิจกรรมวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day)

ร่วมรณรงค์ส่งเสริมดูแลสุขภาพแก่ประชาชน ภายใต้แนวคิด “ฟิตร่างกาย ฟิตชีวิต พิชิตเบาหวาน” (Fit Body, Fit Life, Fight Diabetes) เพื่อให้บริการวิชาการด้านสุขภาพและร่วมดูแลรักษาสุขภาพในเชิงป้องกัน

โดยมุ่งหวังให้ประชาชนรู้ระดับความเสี่ยง หมั่นตรวจร่างกาย และลดพฤติกรรมเสี่ยงในชีวิตประจำวัน ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานอย่างเท่าเทียม

ตามพระปณิธานของ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานและนายกสภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และองค์ประธานผู้ทรงจัดตั้งโรงพยาบาลจุฬาภรณ์”

แพทย์หญิงพรทิพย์ ธีระวิทย์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ ต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิก วิทยากรผู้ให้ความรู้หัวข้อ “วัยทำงาน หวานพอดี” กล่าวว่า โรคเบาหวาน (diabetes mellitus) เป็นโรคที่มีความผิดปกติทางเมตาบอลิซึมเรื้อรังที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง

เนื่องจากร่างกายขาดการสร้างอินซูลินหรือดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งถ้าไม่ได้รักษาและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจะมีภาวะแทรกซ้อนต่อหัวใจ หลอดเลือด ตา ไต และเส้นประสาทได้ นอกจากนี้ยังมีภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวังได้แก่ เบาหวานขึ้นตา ไตเสื่อม การชา ความเสียหายของเส้นประสาท

นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ไตวาย และแผลเรื้อรังที่เท้า หัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดส่วนปลาย ภาวะน้ำตาลสูงมาก และภาวะน้ำตาลต่ำ มีการติดตามป้องกัน ควบคุมระดับน้ำตาล ดูแลเท้า ตรวจตา ตรวจไตเป็นประจำ

แพทย์หญิงสิรี วงศ์รักมิตร แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โภชนศาสตร์คลินิก กล่าวว่า ในส่วนการเลือกอาหารในที่ทำงานนั้น ในวัยทำงานมักมีเวลาจำกัดและต้องทานตามที่สะดวก แต่สิ่งที่เลือกทานแต่ละวันมีผลต่อระดับน้ำตาล พลังงาน และสมาธิในการทำงาน

การเลือกอาหารที่ “เหมาะกับการทำงานและสุขภาพ” สามารถทำได้ไม่ยาก ด้วยการเริ่มต้นวันด้วยมื้อเช้าที่สมดุล งานวิจัยพบว่าผู้ที่ทานอาหารเช้าสม่ำเสมอมีการควบคุมน้ำตาลดีกว่า ซึ่งมื้อเช้าควรมีโปรตีน เช่น ไข่ โยเกิร์ต หรือ นม ร่วมกับคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้องหรือขนมปังโฮลวีต เพื่อช่วยให้อิ่มนาน ลดความหิวระหว่างวัน

เลือกอาหารกลางวันโดยใช้หลัก Healthy Plate คือผัก ½ จาน โปรตีนไขมันต่ำ และ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อย่างละ ¼ จาน

ส่วนของว่างยามบ่ายให้กินเบรกที่มีโปรตีนและใยอาหาร เช่น โยเกิร์ตไม่หวาน ถั่วอบ หรือผลไม้รสไม่หวาน อย่างฝรั่ง แอปเปิล ดื่มน้ำให้เพียงพอ ดื่มกาแฟดำหรือชาร้อนโดยไม่เติมน้ำตาล หลีกเลี่ยงน้ำหวาน น้ำผลไม้ เพราะมีน้ำตาลสูง การจัดรูปแบบการกินให้เหมาะกับตารางชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ

แพทย์หญิงไพรินทร์ เลาหสินณรงค์ แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู กล่าวเสริมว่า การออกกำลังกายของผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยเพิ่มความไวของเซลล์ของร่างกายต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการควบคุมการรับประทานอาหาร

ส่วนข้อควรระวังในการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวาน ได้แก่ ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยเฉพาะในผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยอินซูลิน และควรเฝ้าสังเกตอาการผิดปกติระหว่างการออกกำลังกาย เช่น เวียนศีรษะ หน้ามืด แน่นหน้าอก ใจสั่น หรือเหนื่อยผิดปกติ หากพบอาการดังกล่าวควรหยุดการออกกำลังกายทันทีและปรึกษาแพทย์

นอกจากนี้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เช่น โรคหัวใจ แผลที่เท้า หรือเบาหวานขึ้นตา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมก่อนเริ่มออกกำลังกาย

สำหรับ แพทย์หญิงจิดาภา สาริกิจ แพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยา กล่าวว่า โรคเบาหวานมีผลต่อดวงตา ทำให้เส้นเลือดและเลือด รวมถึงออกซิเจน ไปเลี้ยงตาไม่ดี หรือโดยเฉพาะจอประสาทตา ทำให้จอประสาทตาขาดเลือด เส้นเลือดเกิดการโป่งพอง มีเลือดออก

หรือมีการสร้างเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติ เส้นเลือดนั้น ๆ จึงแตกง่าย กลายเป็นเลือดออกในวุ้นตา เกิดพังผืดที่จอประสาทตา และดึงรั้งให้จอประสาทตาหลุดลอก หากการขาดเลือดยังดำเนินต่อไป จะเกิดต้อหินตามมา ไปจนถึงสูญเสียการมองเห็นถาวรได้

นอกจากนั้น การที่เส้นเลือดไม่ดี จะทำให้กักเก็บน้ำไว้ไม่ได้ จึงทำให้มีน้ำรั่วออกมาที่จุดรับภาพชัด เรียกว่าภาวะจอประสาทตาบวมน้ำ ซึ่งก็จะทำให้การมองเห็นลดลงเช่นกัน

เบาหวานในวัยทำงานควรตรวจตาตามการวินิจฉัยของแพทย์ คือ เบาหวานชนิดที่ 1 เริ่มตรวจหลังจากวินิจฉัย 5 ปี เบาหวานชนิดที่ 2 เริ่มตรวจได้ทันที ถ้าไม่มีเบาหวานขึ้นตา ก็ควรตรวจตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

นอกจากนี้ ยังจัดให้มีกิจกรรมสาธิตการออกกำลังกาย “ขยับร่างกายวันละนิด พิชิตเบาหวาน” ต่อด้วยกิจกรรมสาธิตการทำอาหาร “กินอร่อย ปลอดเบาหวาน” ปิดท้ายด้วยกิจกรรมพยาบาล ให้ความรู้เรื่อง “การแก้ไขภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ” พร้อมเชิญชวนเข้าร่วมกลุ่ม Self Help Group

ภายในงานยังมีบูทกิจกรรม อาทิ บูทเจาะเลือดปลายนิ้วตรวจวัดระดับน้ำตาล บูทแนะนำภาวะโภชนาการในผู้ป่วยเบาหวาน โดยทีมนักกำหนดอาหารวิชาชีพ บูทแนะนำการดูแลสุขภาพเท้า รองเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน โดยทีมเวชศาสตร์ฟื้นฟู

บูทวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกายและแนะนำการออกกำลังกาย โดยนักวิทยาศาสตร์การกีฬา บูทแนะนำพร้อมบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้แก่ผู้ป่วยเบาหวาน บูทนวัตกรรม การติดเครื่องมือตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง (CGM) ในผู้ป่วยเบาหวาน

บูทบริการตรวจคัดกรองเบาหวานขึ้นจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy Screening) และ บูทรับบริจาคดวงตาและอวัยวะ โดยศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะและเนื้อเยื่อ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์

สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเบาหวานสามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ที่คลินิกเบาหวานและโรคเมตาบอลิก

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.