SpaceX จ้องบุกตลาดอินเทอร์เน็ตดาวเทียมไทย อาศัยข้อตกลงการค้า-เจรจาภาษีทรัมป์ ดอดดีลถือหุ้นดาวเทียมต่างชาติ 100% ให้บริการ Starlink ด้าน ดีอี เบรกหัวทิ่ม อ้างกระทบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล – อีโคซิสเต็มดาวเทียมวงโคจรต่ำ ชี้ ปกป้องประโยชน์ชาติไว้ก่อน
ข้อตกลงร่วมกันของ “ไทย-สหรัฐฯ” ที่มาเลเซีย เริ่มพ่นพิษ เมื่อ “ไชยชนก ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า บริษัท สเปซเอ็กซ์ จำกัด (SpaceX) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Leo) Starlink สัญชาติสหรัฐฯ ได้เข้ามาเจรจากับภาครัฐ ในการเข้ามาลงทุนให้บริการ Starlink ในไทย โดยนำเอาเนื้อหาข้อตกลงพัฒนาการค้าดิจิทัลร่วมกัน มาหารือ ด้วยเอกสารข้อตกลงตอนหนึ่ง ระบุว่า ทางการไทยจะผ่อนปรนเงื่อนไขการลงทุนในภาโทรคมนาคม
นั่นทำให้ SpaceX มาเจรจาเพื่อเข้ามาขยายบริการในไทยได้โดยมีการถือหุ้นเอง 100% ซึ่งในเงื่อนไขนี้ยังขัดกับกฎหมายไทย ที่กำหนดว่า กิจการดาวเทียมมีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคง รวมถึงโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีของไทยเอง ดังนั้นผู้ให้บริการต้องเป็นบริษัทไทย หรือมีการร่วมทุนโดยคนไทยมากกว่า 51%
“ไชยชนก” ยังกล่าวด้วยว่าข้อตกลงที่ทาง SpaceX นำมาอ้างนั้น เป็นเอกสารจากทางทำเนียบขาว และทางการไทยจะยังไม่ยอมรับเงื่อนไขการถือหุ้นกิจการดาวเทียมโดยต่างชาติ 100% และด้วยเทคโนโลยีสื่อสารผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำจะยิ่งทงีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ในยุคต่อไปจึงต้อง พิจารณาเพื่อผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อสให้เห็นว่า ทาง SpaceX มีต้องต้องการที่จะขยายบริการ Starlink เข้ามายังประเทศไทยจริง และพยายามใช้ช่องทางการเจรจาการค้าระดับรัฐ ซึ่งมีนโยบายภาษีต่างตอบแทนของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กรุยทางเพื่ออำนวยความสะดวก
“ไชยชนก” เปิดเผยว่า ข้อตกลงร่วมกันที่นำมาอ้างจะเรียกว่า MOU ก็ยังไม่ได้ เป็นแค่กรอบความเห็นร่วมกันว่าจะพัฒนาการค้าดิจิทัลร่วมกันอย่างไร และเอกสารที่นำมาอ้างก็ออกมาจากทำเนียบขาวอย่างเดียว จึงไม่มีผลทางกฎหมายที่ต้องทำตาม
เอกสารที่ถูกอ้างอิงถึงการเจรจาที่มาเลเซีย เป็น Joint Declaration/Joint Talk นั้น ไม่ได้มีผลอะไร ตราบใดที่ตนยังดำรงตำแหน่งอยู่ จะทำตามอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ เพื่อป้องกันไม่ให้โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศถูกครอบงำโดยต่างชาติ
“ทาง SpaceX บอกว่าไม่ได้ต้องการจะเข้ามาในอีโคซิสเต็มโทรคมนาคมหลักของประเทศ แต่จะมาช่วยเสริมส่วนที่ประเทศไทยยังให้บริการไม่ดี หรือเข้าไม่ถึง เช่น ตามพื้นที่ห่างไกล หรือ ป่าเขา แต่ด้วยนโยบายบริษัทเขา การจะไปลงทุนที่ใดต้องถือหุ้นเองทั้งหมด”
“ผมก็ได้เจรจาไปว่า การดำเนินการของ Starlink บริเวณชายแดนของไทย โดยเฉพาะกัมพูชา และในเมียนมา ที่ให้การสื่อสารในเขตสแกมเมอร์ สร้างความกังวลต่อความมั่นคงอย่างมาก ซึ่งทาง SpaceX ก็บอกว่าได้มีการปิดสัญญาณที่ชายแดนไทยที่มีความเสี่ยงแล้วกว่า 1.5พัน จุด ซึ่งนั่นเท่ากับว่าการให้บริการลักษณะนี้มีผลต่อความมั่นคงจริง ดังนั้นจะให้เข้ามาเต็มตัวก็คงไม่ได้”
และอีกอย่างคือผลกระทบทางอีโคซิสเต็ม แม้ว่าเขาบอกจะมาให้บริการในพื้นที่ห่างไกล แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าพื้นที่ทั่วไปจะใช้ตัวรับสัญญาณของ Starlink ไม่ได้ และด้วยขนาดของบริษัท ต้นทุน และเทคโนโลยีที่ดีกว่าเข้ามา ก็จะทำลายผู้ให้บริการเดิมและธุรกิจดาวเทียมของไทยที่มีอยู่”
“สุดท้ายมันจะไม่ใช่แค่เติมเต็มพื้นที่สัญญาณ แต่มันจะเปลี่ยนโครงสร้างตลาดทั้งหมด”
อย่างไรก็ดี ถ้าว่าตามกฎหมายไทย SpaceX สามารถนำเข้าจำหน่าย และให้บริการบางส่วนในไทยได้ โดยทำตามเงื่อนไขหาพันธมิตรในไทย ไม่ต้องถือหุ้น 100% ซึ่งทาง SpaceX ยืนกรานว่า การให้บริการ Starlink ของบริษัทไม่แยกส่วน ขายเป็นแพ็กเกจเท่านั้น และการถือหุ้น 100% เป็นนโยบายบริษัท
ผู้สื่อข่าว รายงานว่า จากกรอบความตกตลงร่วมกันใน “Framework for an Agreement on Reciprocal Trade” ระหว่างไทย-สหรัฐ ที่มาเลเซียเมื่อปลายเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา เนื้อหาสำคัญไม่ได้มีเฉพาะเเค่เรื่องแรร์เอิร์ธ แต่ส่วนที่เป็นข้อตกลงการค้าดิจิทัลก็สำคัญยิ่ง
เนื้อหาระบุว่า สหรัฐ และไทยจะสรุปคํามั่นสัญญาในการจัดการกับอุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อการค้า บริการ และการลงทุนทางดิจิทัล รวมถึง
ซึ่งในข้อที่ (6) ผู้สื่อข่าวได้สอบถามยังแหล่งข่าวภายในวงการโทรคมนาคม ชี้ว่านั่นคือเรื่องหารให้ดาวเทียมต่างชาติเข้ามาโดยง่าย
นอกจากนี้แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคม ยังเปิดเผยว่า การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อลดภาษีต่างตอบโต้จาก 36% เป็น 19% ในช่วงที่ผ่านมามีเงื่อนไขการเปิดให้สหรัฐฯ ลงทุนในภาคโทรคมนาคมและดาวเทียมอยู่ด้วย ซึ่งทางการไทย ทั้งคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ (กนอช.) ได้เห็นชอบร่างนโยบายและหลักเกณฑ์ เพื่อเปิดทางให้บริการดาวเทียมจากต่างชาติเข้ามาอย่างถูกต้องแล้ว
ทั้ง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้หารือประเด็นนี้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
แหล่งข่าว กล่าวว่า เงื่อนไขการอนุญาติสำหรับดาวเทียมวงโคจรต่ำมีการพิจารณาผ่อนปรน และออกแบบการอนุญาติบ้างแล้ว เช่น การขอใบอนุญาตดาวเทียม Landing Right, ใบอนุญาตขายความจุดาวเทียม และขอใบอนุญาตใช้คลื่นและตั้งสถานีภาคพื้น (gateway)
ทั้งหมดนี้เป็นการออกเกณฑ์อย่างระมัดระวัง โดยเปิดช่องให้ กสทช. ได้ศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจ สัฃคมและความมั่นคง เพราะดาวเทียม Leo เป็นเทคโนโลยีใหม่
อย่างไรก็ตาม กฎหมายกิจการดาวเทียมยังมีเงื่อนไขเรื่องคุณสมบัติผู้ขอใบอนุญาตกิจการดาวเทียม ทั้งในส่วน Landing Right และสถานีเกตเวย์ที่ต้องเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนในไทย หรือมีตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจเป็นทางการ หรือต้องเป็นบริษัทสัญชาติไทย ที่มีชาวไทยถือหุ้น 51% จึงต้องพึ่งพาพันธมิตรในประเทศในการเปิดเกตเวย์ และถือใบอนุญาต Landing Right เช่นเดียวกับกรณี Eutelsat จากฝรั่งเศส เจ้าของโครงข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ OneWeb ที่ต้องร่วมมือกับ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ NT เพื่อเปิดสถานีเกตเวย์
ดังนั้น เงื่อนไขการถือหุ้น 100% ยังเป็นไปได้ยาก ซึ่งทาง กสทช. เองก็กังวลในเรื่องนี้ หากมีการบีบบังคับในเงื่อนไขภาษีการค้ามาเรื่อยๆ
แหล่งข่าว ยังกล่าวด้วยว่า หากปล่อยให้ Starlink เข้ามา 100% ผลกระทบแรก คือ NT ที่ใช้เวลาและลงทุนมากกับการร่วมเป็นพันธมิตรกับดาวเทียม OneWeb เพื่อให้บริการลักษณะเดียวกันกับ Starlink ซึ่งถ้าปล่อยมา ก็คงไม่ยุติธรรมกับ NT-OneWeb